Sing 2 (2021) ร้องจริง เสียงจริง 2
Sing 2 (2021) ร้องจริง เสียงจริง 2
ถึงแม้ว่าจะเป็นหนังแอนิเมชั่นที่ไม่ได้มีกระแสเปรี้ยงปร้างอะไรในบ้านเราสักเท่าไหร่ แต่หนังก็มีศักยภาพเพียงพอที่จะเข็นภาคต่อออกมาสร้างสีสันอีกครั้ง กับเหล่าสรรพสัตว์เสียงทรงพลัง “Sing 2” (ร้องจริง เสียงจริง 2) งานสานต่อความสำเร็จอีกแฟรนไชส์ของค่ายอิลูมิเนชั่น เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ที่ต้องบอกเลยว่า พวกเขากลับมาคราวนี้…คือฟิน และยังอัดแน่นไปด้วยเพลงฮิตติดหูตลอดทั้งเรื่อง!
สำหรับใน Sing 2 ร้องจริง เสียงจริง 2 ภาคนี้จะเป็นเรื่องราวที่สานต่อจากภาคที่แล้ว หลังจากที่เหล่าสรรพสัตว์ได้แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวจากการโชว์ศักยภาพพลังเสียงบทเวทีออดิชั่นยิ่งใหญ่ พวกเขายังต้องพิสูจน์ความสามารถตัวเองด้วยการขึ้นโชว์ โดยที่มีนักปั้นมือทอง บัสเตอร์ มูน เป็นผู้ผลักดันสนับสนุนเช่นเคย กระทั่งพวกเขาได้โจทย์ที่ท้าทายครั้งใหม่ กับการเปิดโชว์ในเมืองใหญ่ที่เป็นเหมือนความฝัน เพียงแต่จะต้องเชิญ เคลย์ คาลโลเวย์ อดีตร็อกสตาร์ในตำนาน ที่หายจากวงการไป 15 ปี กลับมาขึ้นเวทีโชว์อีกครั้งให้ได้
การกลับมาครั้งนี้เหมือนกับมาช่วยเติมเต็มสิ่งที่คนดูได้ขาดหายไปในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เพราะเราไม่ได้ดูคอนเสิร์ตหรือโชว์แสดงสดต่างๆ มาสักพักใหญ่แล้ว Sing 2 จึงได้เข้ามาช่วยเสริมในด้านนี้ได้ตรงจังหวะพอดี เรียกได้ว่าในส่วนของโชว์มิวสิคัลของหนังที่ใส่เข้ามาเป็นองค์ประกอบเด่นแล้ว ถือว่าเป็นส่วนที่ทำได้ดีและทำได้ถึง เป็นโชว์ที่จะต้องทำให้คนดูรู้สึกตื่นตาตื่นใจ โดยเฉพาะขามิวสิคัลที่จะต้องหวีดร้องประทับใจได้ไม่ยากแน่นอน
และแน่นอนว่าจุดเด่นของหนังก็คือการคัฟเวอร์เพลงฮิตเพลงดังต่างๆ ใน Sing 2 ก็ยังคงคัดเลือกเพลงเด็ดๆ มาร้องใหม่แบบทรงพลังแรงไม่ตกเลยจริงๆ หลายเพลงที่หยิบมาปั่นใหม่สร้างความเซอร์ไพรส์และเสนาะหูคนดูเป็นแท้ มีหลายๆ เพลงที่น่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็น “Let’s Go Crazy”, “Your Song Saved My Life”, “Break Free” หรือ “I Still Haven’t Found What I’m Looking For” เป็นต้น
แต่ทั้งหมดนั้นก็น่าจะเป็นข้อดีของ Sing 2 เท่าที่ปรากฏให้เห็นในภาคใหม่ เพราะเอาเข้าจริงๆ แล้ว ยังคงมีอีกหลากหลายองค์ประกอบในหนังที่ค่อนข้างน่าผิดหวังอยู่ โดยเฉพาะหนังที่เหมือนลืมหยิบเอาเสน่ห์ที่เคยทำได้เอาไว้ตั้งแต่ภาคแรกมาใส่ในภาคนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเสน่ห์ในเนื้อเรื่องและเสน่ห์ของละคร จากเดิมที่ว่าในภาคแรกก็ไม่ได้ทำจุดนี้ได้ดีสักเท่าไหร่ มาในภาคนี้กลับขาดจุดนี้ไปอย่างน่าเสียดาย
จึงกลายเป็นว่าหนังแอนิเมชั่นเกือบ 2 ชั่วโมงเรื่องนี้แทบไม่ได้สร้างเสน่ห์และความผูกพันในตัวละครต่างๆ ออกมาได้อย่างเด่นชัดเลยสักตัวละครเดียว กลายเป็นเพียงคาแรกเตอร์ดาดๆ ที่หยิบขึ้นมาเติมเต็มองค์ประกอบของหนังให้ครบๆ เพียงเท่านั้น บอกตามตรงเลยว่าคนดูแทบจะไม่ได้รู้สึกลึกซึ้งอะไรไปกับตัวละครต่างๆ ในหนังเลยสักนิด แม้กระทั่งยังลืมไปแล้วว่านักแสดงซุปตาร์คนไหนที่มาพากย์เสียงให้ตัวละครตัวไหนบ้าง เพราะความขาดเสน่ห์ไปในจุดนี้ของหนังนั่นเอง
“การ์ธ เจนนิงส์” กลับมาดูแลงานสร้างในภาคต่อ ทั้งกำกับและเขียนบทหนังเองทั้งหมด คงต้องบอกว่าเขาก็จัดเต็มในสิ่งที่อยากจะถ่ายทอดออกไป เพียงแต่ความตั้งใจของเขาน่าจะยังไม่แข็งแรงเพียงพอที่จะทำให้ออกมาเป็นหนังที่ตราตรึงใจคนดูได้อยู่หมัด เพราะในท้ายที่สุดแล้ว บทหนังของ Sing 2 ก็เป็นโครงเรื่องที่ตื้นเขินเกินไป องค์ประกอบต่างๆ มีแต่ความซ้ำซากและหาความแปลกใหม่แทบไม่เจอเลยในหนังเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ใช่ว่า Sing 2 จะเป็นหนังที่น่าผิดหวังแต่อย่างใด หนังยังมีองค์ประกอบความบันเทิงและจังหวะที่ขับให้เนื้อเรื่องออกมาได้เพลิดเพลินอยู่ตลอดทั้งเรื่อง หากว่าใครที่ชื่นชอบและเป็นสายมิวสิคัลด้วยแล้วนั้น น่าจะเอ็นจอยไปกับหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยากเลย งานดีไซน์ฉาก แสง สี เสียง ในหนังเรื่องนี้ถือว่าทำออกมาได้คุ้มค่าและตื่นตาตื่นใจดี แม้ว่าโดยรวมอาจจะยังไม่ได้หนังที่สมบูรณ์แบบที่สุด แต่คนดูน่าจะโยกตามจังหวะเสียงเพลงเพราะๆ ของเรื่องนี้ไปได้ตลอดทั้งเรื่อง…