The Forever Purge (2021) คืนอำมหิต อำมหิตไม่หยุดฆ่า
The Forever Purge (2021) คืนอำมหิต อำมหิตไม่หยุดฆ่า
หนังอีกหนึ่งเรื่อง…ที่เราคิดว่าเดินทางมาไกล…ไกลกว่าที่คิดเอาไว้มากแล้วตอนนี้ และการเดินทางของหนังเรื่องนี้ก็ยังแผ่ขยายและใส่ไอเดียไปได้อีกอย่างไร้ที่สิ้นสุด และในปีนี้กลับมาอีกครั้งเป็นภาคที่ 4 กับ “The Forever Purge” (คืนอำมหิต: อำมหิตไม่หยุดฆ่า) ที่เป็นการยกระดับความเข้มข้นในทุกๆ ด้าน จากพิธีไถ่บาปเพียงแค่คืนเดียว กลายเป็นฝันร้ายของอเมริกันชนที่อาจจะไม่มีวันสิ้นสุดลง เพราะสังคมที่เสื่อมทรามลงเรื่อยๆ
The Forever Purge เล่าเรื่องราวภายหลังจากที่ทุกกฎบัญญัติได้ถูกทำลายลง กลุ่มโจรฉกรรจ์เดนดินไม่ได้คำนึงถึงข้อกฎหมายใดๆ อีกต่อไป ได้ลงมติและตัดสินใจกันไปเลยว่าจะดำเนินการกวาดล้วงในพิธีไถ่บาป ที่จะไม่ใช่แค่เกิดขึ้นเพียงคืนเดียวก่อนจะรุ่งสาง แต่มันสมควรจะเป็นการไถ่บาปแบบไม่มีวันวันสุด ทุกที่ และทุกเวลา นี่คือจุดเริ่มต้นของหายนะที่สั่นสะท้านไปทั่วแผ่นดินอเมริกา
หนึ่งสิ่งที่ต้องทำใจยอมรับในองค์ประกอบของหนังตระกูล The Purge นั้นก็คงจะเป็นเรื่องความแปลกใหม่ของเนื้อหา ที่แทบจะไม่พบอะไรที่รู้สึกตื่นตาตื่นใจอีกแล้ว เพราะส่วนประกอบต่างๆ ในหนังก็ยังให้ความรู้สึกและอรรถรสเดิมๆ ที่คุ้นกันมาแล้วใน 3 ภาคที่ผ่านมา นี่จึงกลายเป็นหนังที่ยิ่งสร้างก็ยิ่งแผ่วลง แม้ว่าคอนเซ็ปต์โดยรวมของหนังก็มอบความบันเทิงให้กับผู้ชมเป็นหลักดีอยู่แล้ว แต่มันกลับเหมือนดูอะไรซ้ำๆ เดิมๆ วนไปไม่เคลื่อนที่ไปไหน
โดยเฉพาะใน The Forever Purge ที่เอาจริงๆ เหมือนจะมีประเด็นที่ค่อนข้างใหญ่พอสมควร เมื่อพิธีไถ่บาปกำลังจะเกิดขึ้นแบบไม่มีที่สิ้นสุด แต่ท้ายที่สุดหนังก็เลือกใช้วิธีเล่าเรื่องแบบง่ายๆ กลายเป็นเนื้อหาไปกองกระจุกอยู่ตรงกลางเพียงหยิบมือ แล้วใช้ตัวละครต่างๆ นำเรื่องเดินไปโดยที่ไม่มีรายละเอียด หรือสร้างมิติใดๆ ออกมาเป็นพิเศษยกระดับและคุณค่าของตัวหนังเลย
ก็นับว่าจริงที่นับภาคนี้ได้เล่นกับความรู้สึกที่อาจจะเสียดสีประเด็นการเมืองอยู่เบาๆ โดยเฉพาะปัญหาสังคมแห่งความเกลียดชังที่เกิดขึ้นจริงกับสังคมอเมริกันในปัจจุบัน ปัญหาแรงงานข้ามชาติที่ลักลอบเข้าประเทศ กลายเป็นประเด็นการเหยียดเชื้อชาติและสีผิวที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หนังได้หยิบประเด็นนี้มาชูเรื่องเป็นหลัก แต่ด้วยความที่มือไม่ถึง…สุดท้ายก็ได้แค่ลูบๆ คลำๆ ประเด็นนี้เอาตัวรอดไปง่ายๆ แบบไร้กึ๋นและไร้รสชาติ
แต่กระนั้นก็ไม่ใช่ว่า The Forever Purge จะเป็นหนังห่วย อันที่จริงก็เป็นหนังที่ดูได้สนุกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว รู้จักการใส่จังหวะที่ดี เซอร์วิสแฟนๆ หนังได้เหมาะสม ดูได้เพลินๆ แต่แค่เหมือนจะหนังดูอะไรซ้ำๆ วนไป ถึงแม้ว่านี่จะเป็นหนังภาคที่ 4 แล้วก็ตาม ตัวละครต่างๆ ในหนังปูเอาไว้ได้ค่อนข้างน่าสนใจ แต่ควักออกมาใช้แบบตื้นเขิน จึงทำให้ภาพรวมทั้งหมดของหนังเรื่องนี้ก็ยังคงครึ่งๆ กลางๆ ไปได้ไม่สุดสักทางเดียวเลย
โดยสรุปแล้ว The Forever Purge ก็เป็นหนังที่ดูก็ได้ ไม่ดูก็ไม่เป็นอะไร ใครที่ไม่ได้ติดตามดูภาคก่อนๆ มาก็ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไป เพราะเปิดดูหนังเรื่องนี้เลยก็สามารถเข้าใจตามท้องเรื่องได้เลย แต่หากว่าใครที่แฟนหนังชุดนี้ อาจจะรู้สึกซ้ำซากอยู่เบาๆ แต่สุดท้ายก็ยังคงเป็นหนังที่พอดูได้ สาดกระสุนสะใจ ฆ่าแกงอย่างบ้าคลั่งกันเช่นเดิม เพียงแต่อย่าคาดหวังอะไรกับหนังเรื่องนี้มาก ดูเอาเพลินๆ ก็จะกรุบกริบพอดี