The Adam Project ย้อนเวลาหาอดัม
The Adam Project ย้อนเวลาหาอดัม
เป็นหนังที่รู้สึกได้ว่าไม่ต้องคาดหวังอะไรก็ได้ เพราะมันน่าจะตอบโจทย์ผู้ชมได้ดี เพราะนี่คือการกลับมาจับมือกันอีกครั้งของ “ไรอัน เรย์โนลด์ส” กับผู้กำกับ “ชอว์น เลวี่” ที่พวกเขาเพิ่งจะผนึกกำลังความปังมาหมาดๆ ใน “Free Guy” และเขาทั้งคู่ก็มาปลุกปั้นโครงการใหม่อีกครั้งใน “The Adam Project” (ย้อนเวลาหาอดัม) หนังแอคชั่นผจญภัยไซไฟเกี่ยวกับการเดินทางข้ามเวลาที่เหนือจินตนาการ แม้ว่าโครงเรื่องจะมาในแนวสูตรสำเร็จที่ไม่ต้องคิดมาก แต่ก็สนุกเพลินได้ดีทั้งเรื่อง โดยเฉพาะแค่ทีมนักแสดงก็เอาอยู่!
The Adam Project เป็นเรื่องราวของ อดัม รี้ด เด็กชายวัย 12 ที่เพิ่งจะเผชิญหน้ากับความสูญเสียพ่อที่เพิ่งจากไป แต่ปรากฏว่าเขาได้พบกับชายปริศนาในชุดนักปริศนาโผล่มาอยู่ที่สวนหลังบ้าน เขามีท่าทีคุ้นเคยกับบ้านและตัวเขาเป็นอย่างดี ก่อนจะพบว่าชายคนนั้นก็คือเขาที่เดินทางข้ามเวลามาจากอนาคต และเขาคนนั้นกลับมาเพื่อภารกิจเพื่อยับยั้งปฏิบัติการอดัมที่กำลังจะส่งผลกระทบและเป็นหายนะของมวลมนุษยชาติในภายภาคหน้า
ก็อย่างที่บอกว่านี่เป็นอีกครั้งที่เป็นการผนึกกำลังกันระหว่าง ไรอัน เรย์โนลด์ส กับ ชอว์น เลวี่ ผู้ที่มากด้วยพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์หนังที่สอดแทรกความตลกโปกฮาได้อย่างมีอินเนอร์และจังหวะที่ดี และนี่น่าจะเป็นกลับมาร่วมงานของพวกเขาที่น่าจะต่อเนื่องจาก Free Guy และดูเหมือนการทำงานก็ยังคงเข้าขากันได้เป็นอย่างดี แม้ว่าความตื่นตาตื่นใจด้วยเทคนิคพิเศษต่างๆ ในหนังเรื่องนี้จะน้อยกว่าเรื่องก่อนไปสักหน่อย แต่ก็ยังคงความสนุกเอาไว้ได้
หนังได้วางพื้นฐานเกี่ยวกับการเดินทางข้ามเวลามาเป็นตัวชูโรง ทำให้มีกลิ่นอายความเป็นหนังคลาสสิกอย่าง “Back to the Future” โชยมาเรื่อยๆ แต่มันก็ถูกพัฒนาการและขัดเกลาบทหนังออกมาให้ดูน่าสนใจ แม้ว่าจะยังมีหลายส่วนที่ขาดๆ เกินๆ และช่องโหว่อยู่เยอะไปหมดก็ตาม แต่ก็ต้องขอบคุณสูตรสำเร็จที่ช่วยพยุงโทนหนังและอารมณ์ของหนังเอาไว้ได้คงเส้นคงวา
เส้นเรื่องหลักของ The Adam Project อาจจะดูเพ้อๆ ไปสักหน่อย ใส่ความไซไฟที่ดูมีน้ำหนักแต่กลับยังไม่ค่อยสร้างความมั่นคงให้กับเนื้อเรื่องได้ดี ทำให้องค์ประกอบต่างๆ เกี่ยวกับการเดินทางข้ามเวลาและทฤษฎีต่างๆ ที่เป็นปมเข้มข้นหลักของหนังนั้น ไม่ค่อยทำให้รู้สึกอินได้สักเท่าไหร่นัก เป็นพล็อตที่ดูได้ผ่านๆ เพลินๆ ไม่ได้ยึดติดสงสัยอะไรเท่านั้น และบางทีอาจจะไม่จำเป็นต้องมีภาคต่อ-ภาคต้นเลยด้วยซ้ำ
แต่ไฮไลต์เด็ดของหนังเรื่องนี้ ก็น่าจะเป็นทีมนักแสดงที่จัดมาชุดใหญ่ไฟกะพริบมาก ไรอัน เรย์โนลด์ส ยังไงเขาก็คือเขา เขาสามารถแบกรับหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้ค่อนข้างสบายๆ ทั้งเสน่ห์และพรสรรค์ของเขาเป็นประโยชน์ต่อหนังเรื่องนี้เป็นอย่างดี อีกคนที่ประมาทไม่ได้เลย “วอล์คเกอร์ สคอเบลล์” ดาราเด็กที่เฉิดฉายในหนังเรื่องนี้ไม่เบา เสน่ห์ของเขาล้นเหลือพอๆ กับไรอันทีเดียว เมื่อพวกเขาทั้งคู่อยู่บนจอเดียวกัน กลายเป็นเคมีที่ลงตัวอย่างน่าเหลือเชื่อ
หนังยังคงมี “โซอี้ ซัลดานา” หรือ “แคทเธอรีน คีเนอร์” มาร่วมสมทบในหนัง แม้ว่าบทบาทของพวกเขาจะไม่ได้มีมิติอะไรสักเท่าไหร่ เป็นคาแรกเตอร์สำคัญที่ค่อนข้างจืดๆ ไปสักหน่อย แต่ความเป็นมืออาชีพของพวกเขาก็ถือว่าถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าพอใจ แต่ที่เซอร์ไพรส์ก็คงจะเป็น “มาร์ค รัฟฟาโล่” กับ “เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์” ที่กลับมาเล่นหนังด้วยอีกครั้งในรอบเกือบ 20 ปี นับตั้งแต่เรื่อง “13 Going On 30” เคมีของพวกเขาก็ยังลงตัวเช่นเคย
โดยในภาพรวมนั้น The Adam Project ก็ถือว่าเป็นหนังแอคชั่นไซไฟที่ดูได้เพลิดเพลิน ใส่อินเนอร์ความตลกและสนุกของคู่หูผู้กำกับและนักแสดงลงตัวเป็นอย่างดี โครงเรื่องต่างๆ อาจจะดูไม่หวือหวาเท่าไหร่ แต่ก็มีประเด็นที่ค่อนข้างน่าสนใจอยู่ไม่น้อย การหยิบเอาประเด็นเดินทางข้ามเวลามาชูโรงก็ถือว่าน่าค้นหา เพียงแต่ยังไม่สามารถสร้างความดึงดูดใจได้มากพอเท่าไหร่
เอาเป็นว่านี่คือหนังที่ไม่ได้แย่ แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์แบบที่สุดอะไร เป็นหนังที่มีไอเดียที่ดี แต่วิธีการเล่าเรื่องอาจจะยังไม่ได้ทำให้รู้สึกว้าวและน่าจดจำเท่าไหร่ แต่กระนั้นก็มีทีมนักแสดงเบอร์ใหญ่ๆ ตบเท้ามาร่วมสร้างสีสันได้ดีตลอดทั้งเรื่อง เพียงแค่นี้ก็น่าจะเป็นกำไรงามๆ คืนให้กับคนดูได้แบบหอมปากหอมคอแล้ว…