Shang-Chi And The Legend Of The Ten Rings (2021) ชาง-ชี กับตำนานลับเท็นริงส์
Shang-Chi And The Legend Of The Ten Rings (2021) ชาง-ชี กับตำนานลับเท็นริงส์
มาช้า…แต่ก็มานะ การเปิดตัวฮีโร่เชื้อสายเอเชียอย่างเต็มตัวของอาณาจักรมาร์เวลได้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาแฟนๆ หนังชาวไทยแล้ว นี่คือ “Shang – Chi and the Legend of the Ten Rings” (ชาง-ชี กับตำนานลับเท็นริงส์) ฮีโร่หนุ่มสมาชิกใหม่ที่จะเข้ามาผนึกกำลังในจักรวาลหนังมาร์เวล ที่ต้องยอมรับเลยว่า…มาแบบยิ่งใหญ่สมคำร่ำลือที่เขาว่ากันจริงๆ เพราะสัมผัสได้ถึงการยกย่องและสดุดีวัฒนธรรมเอเชียแบบยั้งลึกมากยิ่งขึ้น แม้ว่าจะยังเป็นสไตล์หนังฮอลลิวูดจ๋าๆ อยู่บ้างก็ตามเถอะ
Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings เล่าเรื่องราวต้นกำเนิดของซูเปอร์ฮีโร่คนล่าสุดของจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล ชาง-ชีต้องเผชิญหน้ากับอดีตที่เขาเคยเดินจากมาและเปิดเผยปริศนาแห่งองค์กร Ten Rings ที่ถูกซ่อนไว้ตั้งแต่เส้นเรื่องของจักรวาลหนังมาร์เวลเอาไว้ตั้งแต่เปิดโหมโรมเรื่องแรกเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วเลยทีเดียว
เมื่อก่อนมักจะถูกมองเป็นอาถรรพ์อยู่บ่อยๆ ถึงคราที่ฮอลลิวูดมาหยิบจับพยายามสร้างสรรค์ผลงานที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมเอเชีย ที่มักจะทำได้ไม่ถึงและแตะต้องได้แค่ผิวเผิน แต่ด้วยยี่ห้อ มาร์เวล สตูดิโอ ด้วยแล้ว จะมาทำอะไรลวกๆ ก็คงจะไม่ได้ ดังนั้นการมาของ Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings จึงเห็นได้ชัดว่า…พวกเขาได้ศึกษาและทำการบ้านมาค่อนข้างดี ก่อนจะลงมือมาแตะและเปิดตัวฮีโร่เชื้อสายเอเชียผู้นี้
Shang-Chi คือหนังที่มาพร้อมกับทีมนักแสดงกว่า 80% ของทั้งเรื่องมีเชื้อสายเอเชียทั้งหมด แต่พวกเขาต้องมาทำงานกับทีมงานฝรั่งฮอลลิวูดเป็นส่วนใหญ่เช่นเดียวกัน จึงกลายเป็นการทำงานที่มีความแตกต่างทางพื้นเพ และกลับสามารถทำให้ชงรสชาติออกมาได้กลมกล่อมและอร่อยถึงลิ้นได้กำลังพอดีเลย “ดัสติน แดเนียล เครตตัน” มารับหน้าที่กำกับหนังเรื่องนี้ เครดิตหนังที่ผ่านมาของเขาก็มีแต่หนังดราม่าน้ำดีมาโดยตลอด เมื่อต้องมาหยิบงานสร้างระดับมหึมาขึ้นเป็นเท่าตัว แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่า…เขาทำดีใช้ได้อยู่
สัมผัสได้ถึงความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ จากการใช้ 3 นักเขียนมาระดมเขียนบทหนังช่วยกันในเรื่องนี้ ทั้งตัวผู้กำกับเองที่มาร่วมออกไอเดียกับ “เดฟ คอลลาแฮม” (จาก Mortal Kombat) กับ “แอนดูรว์ ลันแฮม” (จาก Just Mercy) แล้วยังใส่ขั้นตอนการทรีตเมนต์บทหนังเพิ่มเข้าไปอีก เพื่อดูแลองค์ประกอบต่างๆ ในหนังออกมาให้สมบูรณ์แบบที่สุด ทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาต้องยอมรับว่า Shang-Chi ทำออกมาได้เหนือกว่าที่คาดเดาเอาไว้ และทุกๆ อย่างไม่ได้มีแค่ที่ปรากฏอยู่ในทีเซอร์ตัวอย่างจริงๆ
ความพยายามจับต้องและใส่วัฒนธรรมจีนเข้ามาในหนังเรื่องนี้ ไม่มากและไม่น้อยเกินไป แม้ว่าโครงเรื่องหลักไม่อาจจะหนีพ้นความเป็นจีนได้เลย แต่สามารถสื่อสารออกมาในรูปแบบจีนที่สากลเข้าถึง หนังไม่ได้หยิบเอาวัฒนธรรมจีนจ๋าๆ ใส่เข้ามามากมาย เพียงแต่หยิบยืมความงดงามของรูปแบบวัฒนธรรมนี้มาใช้เป็นเส้นเรื่องและเล่าเรื่อง ที่นับว่าเป็นการตอบโจทย์ปฐมบทของฮีโร่เชื้อสายเอเชียผู้นี้เป็นอย่างดี
อีกหนึ่งองค์ประกอบที่หนังทำออกมาได้ค่อนข้างดีเลยก็คือ การดีไซน์ตัวละครต่างๆ ที่สร้างมิติให้กับทุกคาแรกเตอร์ในหนังได้ดีเกือบจะทุกตัวเลยก็ว่าได้ แม้ว่าหนังจะโฟกัสอยู่ที่ ชาง-ชี เป็นหลัก แต่กลับไม่ได้ฉากไฟสปอตไลต์ไปใส่ไว้ที่เขาเพียงคนเดียว หนังได้ทำการกระจายบทบาทต่างๆ ให้กับทุกตัวละครเหมือนเป็นคนสำคัญเทียบเท่าเกือบจะเท่ากันหมด ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่หนังที่เล่าเฉพาะเรื่องของชาง-ชีเท่านั้น
“ซือมู่ หลิว” ที่ใครๆ เห็นผิวเผินก็อาจจะบอกว่าเขาก็เป็นแต่หนุ่มตี๋ธรรมดาๆ (แน่นอนว่าเขาโดนบูลลี่เอาไว้เยอะ ตั้งแต่ได้รับเลือกให้กับรับบทนี้) แต่อยู่ในจอหนังเรื่องนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ซื่อมู่เต็มไปด้วยเสน่ห์อันแปลกประหลาดที่ทำให้ชวนดูรู้สึกคล้อยตามเขาไปด้วยในทุกฉาก เขาไม่ใช่ฮีโร่สายประชานิยมในเบื้องต้น แต่การถ่ายทอดบทบาทนี้ในฉบับเป็นตัวเองของเขานั้น ขับพลังและออร่าของตัวละครและพยุงหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้ดี
“อควาฟิน่า” ที่เอาจริงๆ นึกว่าจะใส่เข้ามาแค่เป็นนักแสดงหญิงตัวโจ๊ก คอยแย่งซีนเฉยๆ เท่านั้น แต่มาร์เวลจริงจังกับตัวละครของเธอมากกว่านั้น และสร้างมิติให้กับคาแรกเตอร์นี้ได้อย่างน่าสนใจและยังปูทางเอาไว้ให้ยาวๆ อีกด้วย ขณะที่นักแสดงสมทบคนอื่นๆ ของเรื่องก็โดดเด่นแทบจะทุกคน ไม่ว่าจะเป็น “จาง เหมิงเอ่อร์”, “มิเชล โหย่ว”, “ฟาลา เฉิน” หรือ “เบน คิงส์ลีย์” รายหลังนี้มาเพื่อขโมยซีนโดดเด่นประจำเรื่องนี้อย่างแท้ทรู
และที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้เลยก็คือ “เหลียง เฉาเหว่ย” ที่โดดเด่นมากๆ ในหนังฮีโร่มาร์เวลเรื่องนี้ อีกนิดเดียวเขาก็จะกลายเป็นพระเอกของเรื่องนี้ไปแล้ว ด้วยประสบการณ์และพลังความเป็นสตาร์ของเขาเฉิดฉายมากๆ ในหนัง การมาเล่นหนังฮอลลิวูดเต็มตัวในครั้งนี้ของเขาถือว่าเป็นผลงานที่ค่อนข้างเพอร์เฟค พร้อมด้วยมิติของตัวละครที่วางเอาไว้ได้อย่างน่าสนใจ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า…เขาเป็นอีกหนึ่งส่วนที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้
ระยะเวลา 2 ชั่วโมงนิดๆ ของ Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings ไม่ได้ทำให้รู้สึกน่าเบื่อเลยสักตอน เนื้อเรื่องเข้มข้นชวนติดตาม ปริศนาต่างๆ ซ่อนเอาไว้เป็นเหมือนอีสเตอร์เอ้กกระบุงใหญ่ที่เรื่องนี้ได้เทกระจาดมาให้แฟนๆ ได้ประติดประต่อเรื่องราวกับหนังจักรวาลมาร์เวล ทั้ง 3 เฟสที่ผ่านมา เพราะไทม์ไลน์และเส้นเรื่องในหนังเรื่องนี้เชื่อมโยงกับหนังเรื่องอื่นๆ เอาไว้แทบจะทั้งหมด นี่จึงเป็นหนังมาร์เวลที่มาช่วยเติมเต็มเรื่องราวต่างๆ และยังทำหน้าที่แนะนำฮีโร่คนใหม่เอาไว้ได้ดีด้วย
เอาเป็นว่า Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings อาจจะยังไม่ใช่หนังมาร์เวลเรื่องที่ดีที่สุดแต่อย่างใด แต่ความบันเทิงและความเชื่อมโยงมุมต่างๆ ที่ปะปนมากับหนัง ได้สร้างความสนุกและความแข็งแกร่งให้จักรวาลในเชิงโครงสร้างต่อไป ก็เป็นหนังอีกเรื่องที่สาวกมาร์เวลต้องห้ามพลาด มีสูตรสำเร็จต่างๆ มากมายที่นำมาใช้และยังคงเวิร์กกับผู้ชมอยู่ องค์ประกอบงานสร้างและงานดีไซน์ต่างๆ น่าพึงพอใจเป็นอย่างดี สรุปก็คือ…ไม่ผิดหวังเลย
ขอทิ้งท้ายเล็กๆ น้อยๆ ด้วยฉากพิเศษท้ายเรื่องใน Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings มีอยู่ 2 ฉาก เป็นฉากที่ค่อนข้างมีอิทธิพลและเชื่อมกับหนังเรื่องต่อๆ ไปของมาร์เวลเหมือนกัน ดังนั้นหนังจบลงแล้วก็นั่งรอดูฉากพิเศษกันก่อนแล้วกันนะ
ตัวอย่างหนัง Shang-Chi And The Legend Of The Ten Rings ชาง-ชี กับตำนานลับเท็นริงส์