Tick tick…BOOM! (2021)
Tick tick…BOOM! (2021)
และบัดนี้…ดูเหมือนว่าฤดูกาลหนังรางวัลประจำปีนี้จะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว เพราะการมาของหนังดราม่ามิวสิคัลที่เป็นการหยิบเอามุมมองชีวิตของเจ้าพ่อละครบอร์ดเวย์ในตำนานมาร้อยเรียงเป็นภาพและเสียงเคล้าคลอด้วยจังหวะที่ลงตัว กลายออกมาเป็น “tick, tick…BOOM!” มิวสิคัลที่ไม่ถึงกับดูได้ง่ายๆ แต่ก็ไม่ได้ยากเกินไปที่จะลอง และกล้าบอกได้เลยว่า…เรื่องนี้ต้องมีบทบาทไม่มากก็น้อยบนเวทีออสการ์ 2022 ที่กำลังจะมาถึง
tick, tick…BOOM! เป็นเรื่องราวฉากหลังที่เกิดขึ้นในปี 1990 ของ จอน นักแต่งเพลงหนุ่มที่ทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟในนิวยอร์กไปด้วยในระหว่างที่เขียนผลงานที่เขาหวังว่าจะเป็นละครเพลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรื่องต่อไปของอเมริกา ช่วงเวลาหลายวันก่อนที่เขาจะต้องเปิดแสดงผลงานของตัวเองที่อาจนำไปสู่การแจ้งเกิดหรือดับ จอนรู้สึกถึงแรงกดดันจากทุกด้าน
ไม่ว่าจะเป็น ซูซาน แฟนสาวที่วาดฝันอยากจะไปใช้ชีวิตนอกมหานครนิวยอร์ก หรือ ไมเคิล เพื่อนของเขาที่ละทิ้งความฝัน เพื่อหันไปเลือกทางเดินชีวิตที่มีความมั่นคงทางการเงิน ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ในหมู่ชุมชนศิลปิน ขณะที่เวลายังเดินต่อไปเรื่อยๆ จอนมาถึงจุดที่ต้องตัดสินใจเลือกและเผชิญกับคำถามที่ทุกคนต้องขบคิด นั่นคือ เราควรทำอย่างไรกับเวลาที่เหลืออยู่?
เผื่อว่าบางคนไม่รู้ว่านี่เป็นหนังที่เป็นเรื่องราวจริงในชีวิตของ “โจนาธาน ลาร์สัน” นักแต่งเพลงและนักเขียนบทละครเวทีชื่อดังระดับโลก เจ้าของผลงานละครบอร์ดเวย์เรื่องดัง “Rent” ที่ตีแผ่ชีวิตและสังคมของชาว LGBTQ ในยุคแรกๆ ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมกับทั้งสอดแทรกประเด็นทางสังคมในยุคนั้นออกมาได้อย่างดีล้นหลาม จนมีการจัดแสดงโชว์ต่อเนื่องมานับสิบๆ ปี
และไม่เพียงเท่านั้น tick, tick…BOOM! ยังเป็นผลงานการกำกับหนังเรื่องแรกของเจ้าพ่อละครเพลงในยุคปัจจุบัน “ลิน มานูเอล มิแรนดา” ที่เรามักจะเห็นชื่อเขาบ่อยๆ เมื่อได้เห็นหนังมิวสิคัลเรื่องใหม่ หรือเพลงประกอบภาพยนตร์ที่เขามักจะมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่หลายเรื่อง พร้อมกับได้ “สตีเฟ่น เลเวนสัน” ผู้ประพันธ์ ‘Dear Evan Jensen’ ฉบับละครเวทีมาดัดแปลงเขียนบทหนังเรื่องนี้ให้
tick, tick…BOOM! ถือว่าเป็นผลงานการประพันธ์เพลงและบทละครเรื่องสุดท้ายที่ โจนาธาน ลาร์สัน ทิ้งเอาไว้ และได้นำมาพัฒนาสานต่อ กระทั่งกลายมาเป็นโชว์ที่บอร์ดเวย์ในอีก 6 ปีต่อมา หลังจากที่เขาได้เสียชีวิตลงไป โดยเนื้อหาเป็นการผสมผสานระหว่างช่วงชีวิตของเขากับเรื่องที่แต่งขึ้นมาใหม่ ผ่านคาแรกเตอร์เพียงแค่ 3 ตัวละคร และในฉบับหนังก็ได้มีการตีความใหม่และกระจายบทออกไปได้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
“แอนดรูว์ การ์ฟิลด์” มารับบทเป็น โจนาธาน ลาร์สัน ในหนังเรื่องนี้ที่ต้องยอมรับเลยว่า เขาสามารถแบกคาแรกเตอร์และแบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้สบายๆ ด้วยพรสวรรค์ทางการแสดงของเขา และอินเนอร์ที่ถ่ายทอดออกมาได้เข้ากับบทบาทนี้ได้อย่างดี มีทั้งมุมการแสดงสุดโต่งแบบแปลกๆ และมุมดราม่าซึมลึกที่เขาก็ยังบรรจงและบรรเลงบทนั้นออกมาได้อย่างทรงเสน่ห์
ต้องบอกเลยว่า ปี 2021 นั้นเป็นปีที่มีหนังเพลงและมิวสิคัลออกฉายหลายเรื่อง แต่น่าเสียดายที่ส่วนใหญ่ค่อนข้างทำผลลัพธ์ที่ล้มเหลวในด้านกระแส เช่นเดียวกับ tick, tick…BOOM! ก็น่าจะเข้าข่ายแบบนั้นเหมือนกัน เพียงแต่หนังได้ภาษีที่ดีกว่าตรงที่กลายเป็นหมายตาและเต็งเป็นว่าที่หนังหวังรางวัลประจำฤดูกาลนี้อีกเรื่อง ไม่ใช่ว่าหนังไม่สนุกหรือไม่ดีอะไร แต่หนังค่อนข้างมีมุมมองและโทนที่เหมาะกับคนดูเฉพาะกลุ่มอยู่สักหน่อย
ประเด็นของ tick, tick…BOOM! เป็นหนังที่ต้องใช้เวลาในซึมซับอยู่สักนิด แต่เพียงเครื่องเริ่มติดหลังจากปูทางไปได้สักระยะ คนดูก็จะสัมผัสได้ถึงแกนหลักของโครงเรื่องที่ต้องการจะสื่อสาร พ่วงด้วยการตีแผ่ประเด็นสังคมในช่วงที่เกิดขึ้นตามท้องเรื่องของหนัง ที่แน่นอนว่าในยุคนี้ยังคงมีความเหลือมล้ำทางสังคมอยู่ และปัญหาเกี่ยวกับโรคเอดส์ยังเป็นบาดแผลใหญ่ในหมู่ LGBTQ ในตอนนั้น และนั้นก็กลายมาเป็นเรื่องที่จุดประกายและตกตะกอนมาเป็นมิวสิคัลเรื่อง Rent นั่นเอง
อาจจะกล้าบอกได้ว่า tick, tick…BOOM! จะต้องมีบทบาทบทเวทีรางวัลต่างๆ ในช่วงต้นปีที่จะถึงนี้แน่ อย่างน้อยๆ หนังก็น่าจะได้เข้าชิงออสการ์ ในสาขา ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม กับ นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม เป็นแน่ อีกทั้งยังแอบลุ้นให้การแสดงของ “โรบิน เดอ เคซุส” ที่ทำออกมาได้ดีจริงๆ ได้เข้าชิง นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม อีกสาขาด้วย แต่ก็คงต้องลุ้นและดูตัวแปรคู่แข่งเรื่องอื่นกันต่อไป
ขณะที่เพลงประกอบในหนัง tick, tick…BOOM! ถือว่ายกองค์ประกอบหลักๆ มาจากเวอร์ชั่นละครเวทีเป็นส่วนใหญ่ แน่นอนว่าเพลงที่ประพันธ์ขึ้นเองจากต้นฉบับ โจนาธาน ลาร์สัน ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมและลงตัวได้ดีอยู่แล้ว เมื่อนำมาใช้ถ่ายทอดผ่านตัวหนัง ก็กลายเป็นส่วนที่ส่งเสริมเนื้อหาและอารมณ์ของหนังในหลายๆ ฉากได้เป็นอย่างดีเลย
สำหรับภาพรวมแล้ว tick, tick…BOOM! ถือว่าเป็นหนังมิวสิคัลที่ทำออกมาได้จับใจ แม้ว่าหนังจะยังไม่ถึงกับทำออกมาได้สมบูรณ์ในทุกด้าน แต่องค์ประกอบหลายด้านในหนังถือว่าทำได้ดี ไม่ว่าจะองค์ประกอบฉาก องค์ประกอบศิลป์ ผนวกเข้ากับบทเพลงเพราะๆ และการแสดงของนักแสดงที่เข้าถึงบทได้ดี จึงกลายออกมาเป็นหนังร้องเพลงที่เต็มอิ่ม และพูดได้เต็มปากได้ว่า…ก็เหมาะกับการล่าสรางวัลอยู่