The Privilege “รา” หลอนซ่อนมรณะ
The Privilege “รา” หลอนซ่อนมรณะ
หนังสยองขวัญสัญชาติเยอรมันที่ลงสตรีมมิ่ง Netflix ไปเมื่อไม่กี่วันก่อน บอกเล่าเรื่องราวสุดระทึกขวัญที่เกิดขึ้นกับฟินน์ เด็กหนุ่มที่ต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์สยองเมื่อเขายังเป็นเด็ก ก่อนที่เรื่องราวในครั้งนั้นจะตามหลอกหลอนเขาเรื่อยมาจนเป็นวัยรุ่น!
ฟินน์ (แม็กซ์ ชิมเมลป์เฟนนิช) ลูกชายคนเล็กของครอบครัวเบิร์นมันน์ เขาต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์สุดสยอง เมื่อจู่ๆไฟในบ้านของเขาได้ดับลง และเขาก็เห็นพี่สาวอย่างอันนา (คาโรไลน์ ฮาร์ติก) เกิดอาการคลุ้มคลั่ง ราวกับว่าเธอกำลังถูกตามล่าจากบางสิ่งบางอย่างที่มองไม่เห็น
หลังจากที่เธอไม่อาจจะครองสติได้ หนทางเดียวคือการพาน้องชายตัวเองขับรถหนีไป แต่เมื่อไปถึงสะพานข้ามเขื่อน อันนาพยายามจะหาทางกระโดดลงไปและพยายามที่จะให้ฟินน์กระโดดตามไป แต่เมื่อเขารู้สึกว่าพี่สาวตัวเองเป็นบ้าเขาจึงถีบพี่ตกไปเบื้องล่าง
เหตุการณ์สะเทือนขวัญในครั้งนั้นทำให้ฟินน์เติบโตมาด้วยอาการเห็นภาพหลอนจากอดีตจนเขาต้องเข้ารับการรักษาจากจิตแพทย์อยู่เป็นประจำ จนกระทั่งวันหนึ่งฟินน์ได้มีคนแปลกหน้ากำลังทำพิธีกรรมบางอย่างกับพี่สาวคนรองที่อายุของเธอกำลังจะครบ 18 ปีในอีกไม่นาน และฟินน์กลัวว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับอันนาจะเกิดซ้ำรอยอีกครั้ง
ระหว่างที่ฟินน์พยายามหาคำตอบกับปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นนี้ เพื่อไขว่าเหตุการณ์ในครั้งอดีตนั้นเป็นผลมาจากความวิกลจริตของตัวเอง หรือที่จริงแล้วอันนาถูกอะไรตามล่า แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันมีความเชื่อมโยงอย่างไรกับฟินน์ บางทีมันอาจจะเกิดมาจากตัวยาที่เขาถูกแพทย์สั่งให้กินอย่างต่อเนื่องหรือไม่ ฟินน์จึงต้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมชั้นเรียนอย่างลีน่า (เลอา อัคเคน) และซามิล่า (ทียาน มาราย) ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเขาคืออะไรกันแน่
The Privilege เป็นหนังที่หยิบเอาเรื่องราวเหนือธรรมชาติ เข้ามาผสมผสานกับวิทยาศาสตร์ว่าด้วยเชื้อราที่งอกออกมาจากซากศพ ซึ่งมีฤทธิ์ต่อระบบประสาทของผู้ที่กินหรือสูดดมสารเหล่านี้เข้าไป แต่กลายเป็นว่าระหว่างทางของเรื่องหนังสับขาหลอกคนดูไปมาให้เขวไปเขวมา ก่อนที่จะโยนบทสรุปใส่หน้าคนดูว่า อ่อที่เราเล่าๆมาก่อนหน้านี้เป็นการจ้อจี้นะ เพราะจริงๆแล้ว……..
น่าเสียดายที่หนังเปิดเรื่องมาได้ค่อนข้างน่าติดตาม ทิ้งปมก้อนใหญ่ให้คนดูอยากจะร่วมค้นหาคำตอบของปรากฏการณ์ที่ตัวเอกอย่างฟินน์ได้เจอมาตั้งแต่เด็ก แต่กลายเป็นว่ายิ่งหนังเล่าเรื่องราวระหว่างทาง ในหลายๆครั้งฉากที่ถูกใส่เข้ามาดูไม่มีความจำเป็นและทำให้เรื่องราวยืดเยื้อ ยังไม่รวมไปถึงบทสรุปที่คลี่คลายออกมาแล้วทำให้คนดูรู้สึกว่า นี่ฉันเอาเวลากว่า 2 ชั่วโมงมานั่งดูอะไรอยู่เนี่ย T-T