The Lost City ผจญภัยนครสาบสูญ
The Lost City ผจญภัยนครสาบสูญ
ได้เวลามาพิสูจน์กันแล้วว่า เพราะอะไรกันนะที่ทำให้หนังตลกจังหวะโบ๊ะบ๊ะที่ดูยังไงก็เป็นสูตรสำเร็จของฮอลลิวูด อย่าง “The Lost City” (ผจญภัยนครสาบสูญ) กลายเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จแทบจะในทุก ๆ ด้านแบบนี้ และเมื่อได้ไปสัมผัสด้วยตาตัวเองและอิ่มเอมไปอรรถรสของหนังเกือบจะ 2 ชั่วโมงเรื่องนี้ ก็ได้คำตอบนั่นแล้วว่า…นี่คือหนังที่คนระดับมืออาชีพ เขาช่วยกันสร้างสรรค์กลมเกลียวออกมาเป็นมาสเตอร์พีชนั่นเอง
The Lost City เป็นเรื่องราวของ ลอเร็ตตา เสจ นักเขียนผู้เก่งกาจ แต่รักสันโดษ เธอได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับสถานที่แปลกประหลาดในนิยายรักผจญภัยยอดนิยมของเธอ โดยมี อลัน มาเป็นนายแบบหน้าปกสุดหล่อ และทุ่มเทชีวิตเต็มที่ในการปรากฏตัวเป็น “แดช” ฮีโร่จากนิยาย
ลอเร็ตตาและอลันออกทัวร์โปรโมตหนังสือเล่มใหม่ร่วมกัน และพวกเขาทั้งคู่ถูกลักพาตัวโดยมหาเศรษฐีสุดประหลาด ผู้ซึ่งหวังว่าเธอจะสามารถนำเขาไปสู่การพบสมบัติในเมืองโบราณที่สาบสูญในนิยายเรื่องล่าสุดของเธอ งานนี้จึงทำให้อลันต้องการพิสูจน์ว่าเขาสามารถเป็นฮีโร่ได้ในชีวิตจริงและไม่ใช่แค่ในหนังสือเท่านั้น เขาจึงออกเดินทางไปเพื่อช่วยเหลือเธอ
คือจะว่าไปแล้ว The Lost City มันก็คือหนังตลกดาดดื่นทั่ว ๆ ไปของฮอลลิวูด ที่อาจจะใช้ทุนสร้างสูงกว่าปกติสักเล็กน้อย แต่องค์ประกอบรวม ๆ ก็คือหนังตลกผจญภัยที่ใส่ความโบ๊ะบ๊ะสูตรสำเร็จมุกอเมริกันเข้ามาเป็นจุดขายเดิม ๆ นั่นแหละ แต่ภายใต้จุดเดิม ๆ เหล่านั้น กลับกลายเป็นว่าหนังเรื่องนี้มีจุดเด่นและส่วนประกอบที่ดีที่สุดกลายเป็นทีมนักแสดงทุกคนในหนังเรื่องนี้ ที่พวกเขาได้โชว์ศักยภาพความเป็นมืออาชีพและซุปตาร์ที่สามารถพยุงหนังเรื่องนี้เอาไว้ได้แบบเซียนมาเอง
นี่คืองานสร้างของคู่หูตระกูลนี อย่าง “แอรอน นี” กับ “อดัม นี” ที่ถือว่าเป็นงานสเกลระดับบ็อกซ์บัสเตอร์ของพวกเขาเป็นเรื่องแรก และก็สามารถประคับประคองงานสร้างทั้งหมดออกมาได้ในระดับที่น่าพอใจ แม้ว่าจะแอบโกงหน่อย ๆ เพราะมีความเป็นสูตรสำเร็จช่วยพวกเขาเอาไว้อยู่ไม่น้อย แต่โดยรวมก็ถือว่างานสร้างของพวกเขาออกมาใช้ได้ แม้ว่าจะไม่ได้สร้างความแปลกใหม่ใด ๆ แต่ก็ยังเก็บตกความบันเทิงชั้นยอดเอาไว้ได้ตลอดเรื่อง
บทหนังของ The Lost City บอกตรง ๆ ก็คือไม่มีอะไรเลย มาพร้อมกับบทหนังแสนเชยที่โครงเรื่องแทบไม่มีอะไรยาก ก็แค่ชายหญิงคู่หนึ่งที่มีชีวิตต่างคนละขั้วต้องมาผจญภัยและหนีตายไปด้วยกันกลางป่า ฝ่าด่านไปที่จะสเต็ป กับสูตรสำเร็จที่เดาทางเรื่องออกในทุก ๆ องศา เป็นความจำเจที่มีทั้งจังหวะที่สนุกและจังหวะที่เบื่อหน่ายปะปนกันไป และมันคือความซ้ำซากที่ยังสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมได้ดี
และอย่างที่บอกไปข้างต้น The Lost City คือหนังที่มีความโดดเด่นที่สุดก็คือแคสติ้งนักแสดงนั่นเอง พวกเขาแต่ละคน แต่ละเบอร์ ก็คือมืออาชีพล้วน ๆ ดังนั้นนี่จึงกลายเป็นกำไรของคนดูโดยแท้ ที่ได้มีโอกาสได้เห็นดาราเบอร์เท่านั้นมาประชันบทบาทกันในหนังโบ๊ะบ๊ะแบบนี้เรื่องเดียวกัน และองค์ประกอบนี้นี่เองที่มีส่วนช่วยยกระดับภาพรวมของหนังเอาไว้ได้ดีมาก ๆ กับทักษะการแสดงและประสบการณ์ในหนังสายฮาของพวกเขา เป็นจุดที่ช่วยส่งเสริมเพิ่มเสน่ห์ให้กับหนังได้เป็นอย่างมาก
“แซนดร้า บูลล็อก” ที่เอาจริง ๆ ก็ค่อนข้างห่างหายไปจากบทแนวนี้ไปสักพัก เพราะหันไปเล่นแนวซีเรียสจริงจังเยอะขึ้น แต่ด้วยพรสรรค์ของเธอให้ด้านนี้ และเป็นบทที่เข้าทางเธอเป็นอย่างดี จึงทำให้คาแรกเตอร์ธรรมดา ๆ ได้ที่สรรค์สร้างออกมาโดยเธอที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ตลอดทั้งเรื่อง เธอแบกหนังเรื่องนี้เอาไว้แบบสบาย ๆ เหมือนแค่ยกด้วยปลายนิ้วชี้เท่านั้น นี่ก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่า ถ้าบทนี้ไม่ใชแซนดร้า…จะมีใครที่เล่นถึงได้เท่าเธอคนนี้อีก
ถัดมาที่ “แชนนิ่ง เททั่ม” คนนี้ก็ไม่ต้องพูดอะไรเยอะ เพราะเขามีความหลากหลายในการจัดแจงรับบทคาแรกเตอร์ที่ตัวเองได้รับอยู่เสมอ และบทนี้ก็ถือว่าเข้าทางเขาอยู่ไม่น้อยเช่นกัน แม้ว่าบทบาทนี้ของเขาจะซ้ำและจำเจกับบทเดิม ๆ ที่เขาเคยได้รับมาก่อน แต่เสน่ห์ของแชนิ่งก็ช่วยส่งเสริมและพาหนังไปได้ไกล ด้วยการดีไซน์คาแรกเตอร์นี้ออกมาในรูปแบบของเขาเอง มีทั้งความโบ๊ะบ๊ะและความเท่ปะปนกันอย่างลงตัว
ขณะที่ “แดเนียล แรดคลิฟฟ์” ที่ยังคงเป็นพ่อมดน้อยในใจผู้ชมหลาย ๆ คนอยู่เสมอ แต่นี่ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความท้าทายในการแสดงของเขาอีกครั้ง เพราะเขาแทบจะไม่ค่อยรับบทในหนังตลกอะไรทำนองนี้สักเท่าไหร่ เมื่อเจ้าหนุ่มจากอังกฤษต้องมาแบกรับกับการเป็นวายร้ายสไตล์ผู้ดีเรื่องนี้ ก็ถือว่าแดเนียลสามารถดีบทได้แตก ด้วยเสน่ห์ทางการแสดงของเขาอีกเช่นเดียวกัน แม้ว่าบทนี้แทบจะไม่มีอะไรเลยก็ตาม แต่เขาก็สวมวิญญาณออกมาได้อย่างน่าหมั่นไส้ดี
นี่ยังไม่รวมองค์ประกอบเสริมจากนักแสดงสมทบคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น “ดาวีน จอย แรนดอล์ฟ” ที่เป็นคุณเจ๊จอมขโมยซีนของเรื่อง หรือจะเป็น “ออสการ์ นูเนซ” ที่กลายเป็นตัวขโมยซีนฝ่ายชายและกลายเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่มักจะไปแทรกอยู่ในหนังตลกที่มี แซนดร้า บูลล็อก แสดงอยู่เรื่อง และที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ “แบรด พิตต์” กับบทนักสู้เทพบุตรที่คุณจะต้องหลงใหลเขาแทบจะทุกนาทีที่มีซีนปรากฏอยู่บนจอ
เอาเป็นว่าโดยสรุปแล้ว The Lost City ก็ถือหนังที่มอบความบันเทิงได้อย่างล้นหลาม เป็นหนังที่สนุกและคนดูจะเอ็นจอยไปได้ตลอดทั้งเรื่อง ทั้งมุกเล็กน้อยยิบย่อยก็ชวนยิ้มไปหมด ได้เคมีนักแสดงที่เต็มไปด้วยความเป็นมืออาชีพและบทบาทเข้าทางพวกเขาแทบจะทุกคาแรกเตอร์เลย บอกเลยว่านี่คือหนังที่เป็นกำไรให้กับผู้ชมโดยแท้ ดูแล้วไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะมันคือหนังตลกเพลิน ๆ ที่ไม่เน้นสาระอะไรเท่าไหร่ และหนังแนว ๆ นี้ในยุคนี้บอกเลยว่ายิ่งหาดูได้ยากแล้วนะ ไปดูกันเองเถอะ มันสนุกดี…ไม่ลวง