Reminiscence (2021) ล้วงอดีตรำลึกเวลา
Reminiscence (2021) ล้วงอดีตรำลึกเวลา
หากจะเอ่ยถึงผลงานของนักแสดงหนุ่ม “ฮิวจ์ แจ็คแมน” แล้ว แน่นอนว่าเขาเคยผ่านบทบาทที่หลากหลายมากมายอีกคนหนึ่งเลยทีเดียว แต่ไม่รู้ว่าเป็นโชคร้ายหรือไม่ เพราะเขากลับยังไม่สามารถสลัดภาพ ‘วูลฟ์เวอรีน’ ตัวละครมาร์เวลที่แจ้งเกิดให้เขาและเคยถือบทนี้มาเกือบ 20 ปี แม้ว่าเขาจะพยายามมากๆ ที่จะหลุดออกจากภาพนั้นให้ได้ และในหนังใหม่ของเขา “Reminiscence” ก็เป็นอีกหนึ่งความพยายามที่หวังจะให้ผู้ชมจดจำเขาในบทบาทใหม่ๆ เพียงแต่ว่า…นี่ยังคงไม่ใช่งานแสดงที่ดีพอที่จะมีศักยภาพไปถึงขั้นนั้น
Reminiscence เล่าเรื่องราวของโลกในอนาคตอันใกล้ นิค แบนนิสเตอร์ นักสืบสวนแห่งจิตใจที่ต้องออกสำรวจโลกอันหมองหม่นในอดีตเพื่อช่วยเหลือ เม คนไข้ที่สูญเสียความทรงจำ ทำให้ชีวิตที่จมดิ่ง ณ ชายฝั่งไมอามี่ของเขาเปลี่ยนไปตลอดกาล จากการสูญเสียและค้นพบธรรมดาๆ กลายเป็นความหลงใหลที่อันตราย เมื่อ แบนนิสเตอร์ ต้องต่อสู้เพื่อตามหาความจริงเกี่ยวกับการหายตัวไปของเม ทั้งต้องเปิดโปงการสมรู้ร่วมคิดที่แสนโหดร้าย พร้อมตอบคำถามว่าคุณจะสามารถจับมือคนที่คุณรักเอาไว้ได้นานแค่ไหน?
หากจะพูดกันแบบตรงไปตรงมา ไม่มีขออวยใดๆ ทั้งสิ้น Reminiscence เป็นหนังที่ไม่มีอะไรที่น่าจดจำหรืออาจจะขึ้นเครื่องฟื้นความทรงจำแบบในหนังเลยสักนิดเดียว ตลอดระยะเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง…ช่างยืดยาวและเบื่อหน่าย ภายใต้ความพยายามที่จะอยากจะฉีกกฎการเล่าเรื่อง แต่สุดท้ายก็วนเวียนจำเจอยู่เดิมๆ ที่ไม่ค่อยทำให้คนดูชวนติดตามสงสัยกับประเด็นหลักที่หนังได้ปูทางเอาไว้ ที่อะไรมันจะบังเอิญเหมาะเจาะขนาดนี้ จนกลายเสน่ห์ไปอย่างทื่อๆ
เพียงแค่ Reminiscence เปิดฉากออกมาเพียงแค่นาทีแรก ก็สามารถทำให้เกิดความรู้สึกที่ว่า “เอาแล้วไง ง่วงแน่ๆ” แค่ฉากเปิดกับบทพูดของตัวละครใน Overture ก็คือความคลีเช่แบบพวกหนังรางวัลเทศกาลต่างๆ ที่เข้าใจยากในรูปแบบที่พวกหนังชอบหยิบเอาไว้ล้อเลียนและจิกกัดบ่อยๆ การเล่าเรื่องของหนังแสนจะน่าเบื่อและไม่ได้ชวนติดตามใดๆ เลยแม้แต่น้อย ถึงจะให้โอกาสซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ยังคงไม่ดีขึ้น ผ่านไปเกือบชั่วโมงก็ยังชวนหลับอยู่ดี
นี่คือผลงานการกำกับหนังใหญ่เรื่องแรกของโปรดิวเซอร์สาว “ลิซา จอย” ที่คร่ำหวอดอยู่เบื้องหลังซีรีส์ดังๆ มาหลายเรื่อง (Westworld) เธอยังรับหน้าที่เขียนบทหนังเรื่องนี้เองด้วย แต่ผลลัพธ์ที่ออกมานั้น…ยังค่อนข้างล้มเหลว ด้วยการวางโครงของหนังเอาไว้สเกลค่อนข้างใหญ่ แต่การเล่าเรื่องยังคงสไตล์ที่ใช้กับบนทีวีซีรีส์อยู่ ทำให้ไม่ต่างกับดูหนังแข็งทื่อไปตลอดทั้งเรื่อง ที่มีจุดพีคแบบขึ้นลงไม่สุดทุกๆ 10 นาที และไม่ได้ทำให้หนังดูสนุกขึ้นแต่อย่างใดเลย
แม้ว่าหนังจะได้ทีมนักแสดงตังเป้งๆ มาเจอกัน นำโดย ฮิวจ์ แจ็คแมน ที่มารับบทที่แบกรับหนังเอาไว้ทั้งเรื่อง แต่พอบทหนังกับการเล่าเรื่องออกมาพัง ทุกอย่างก็เทน้ำหนักไปที่เขา ก็เล่นงานเขาทรุดอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน นี่คือหนังที่ทำให้ซุปตาร์ของฮิวจ์เกือบจะจมกลืนหายไปได้เลย และยังสมทบด้วย “รีเบ็กก้า เฟอร์กูสัน” ที่เจอปัญหาเดียวกัน คาแรกเตอร์น่าค้นหาแต่องค์ประกอบอื่นๆ พัง ก็เละไม่เป็นท่า ส่วน “แธนดี้ นิวตัน” เหมือนกลายมาเป็นบทตัวประกอบที่หนังไม่ได้ให้ค่าเสียอย่างนั้น
หลังจากที่ Reminiscence ขึ้นเครดิตตอนท้ายขึ้นมา ก็เฝ้าแต่คิดอยู่กับตัวเองว่า หนังเรื่องนี้คือหนังแนวไหน จัดอยู่ในประเภทอะไร แม้ว่าคอนเซ็ปต์หลักที่โปรโมตออกมาหนังบอกว่าเป็นหนังโรแมนซ์ แต่ความโรแมนซ์ในหนังก็ยังทำได้แบบเก้ๆ กังๆ จะบอกว่าเป็นหนังไซไฟ ก็มีแค่ฉากเครื่องไม้เครื่องมือย้อนรำลึกความทรงจำที่เป็นองค์ประกอบทำให้ดูไปในทิศทางนั้นแบบตื้นๆ ดังนั้นก็ยังคงไม่ได้ข้อสรุปว่า Reminiscence เป็นหนังแนวไหน รู้แค่ว่าหนังไม่สามารถไปได้สุดสักทางจริงๆ
ในหนังเรื่องนี้เราอาจจะได้กลิ่นอายของหนังดังมาปะปนอยู่เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็น Inception หรือ Memento รวมทั้งหนังคลาสสิกอย่าง Chinatown หลายๆ องค์ประกอบเหมือนดูหยิบยืมมาใส่เป็นแรงบันดาลใจในหนังเรื่องนี้ ผสมๆ กันออกมาเป็นหนังที่ยังไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่หวังเอาไว้ มาถึงตอนนี้ก็ไม่รู้สึกแปลกใจเท่านั้น ที่หนังไม่ทำเงินบนบ็อกซ์ออฟฟิศ เพราะว่าขนาดหน้าหนังก็ยังทำคนดูตัดสินใจไม่ได้เลยว่านี่เป็นหนังประเภทไหนกันแน่ แม้ว่าตัวหนังจะไม่ได้ย่ำแย่ระดับน่าโมโห แต่ก็ถือว่าเป็นหนังที่ค่อนข้างน่าผิดหวังกับหลายๆ องค์ประกอบที่ทำออกมาได้ยังไม่ถึงขั้นที่ควรจะเป็น