Pam & Tommy
Pam & Tommy
ใครที่โตมาในยุค 90s ทุกคนน่าจะเคยได้ยินหรือ “ได้ดู” เซ็กส์เทปของ พาเมลา แอนเดอร์สัน เซ็กส์ซิมโบลที่ดังสุดขีดจากซีรีส์ ‘Baywatch’ และทอมมี่ ลี สามีหนุ่มเลือดร้อนที่เป็นมือกลองของวงเฮวีเมทัล ม็อตลีย์ ครู (Motley Crue) ในปี 1995 เซ็กส์เทปนี้ “หลุด” ออกมาอย่างไม่ตั้งใจในยุคที่ทุกอย่างยังเป็นแอนะล็อกและทุกคนบนโลกเพิ่งจะรู้จักคำว่า “อินเทอร์เน็ต”
‘Pam & Tommy’มินิซีรีส์ 8 ตอนจบของ Hulu (รับชมได้ทาง Disney+) สร้างจากเหตุการณ์จริงที่ยึดจากบทความ ‘Pam and Tommy: The Untold Story of the World’s Most Infamous Sex Tape’ ของอแมนดา ชิคาโก ลิวอิส ที่ตีพิมพ์ในนิตยสาร ‘Rolling Stone’ เมื่อปี 2014
ซึ่งไม่ได้เล่าแค่เรื่องราวทั้งหมดที่ทำให้เกิดเซ็กส์เทปสุดอื้อฉาว แต่ยังพูดถึงการรับมือกับความรุ่งโรจน์ (และร่วงหล่น) การแก้แค้นและการหลอกลวง ความรักและความสัมพันธ์ วงการหนังและนิตยสารโป๊ การคุกคามทางเพศและการกลั่นแกล้งทางสังคม (Social Bullying) ทั้งที่ในตอนนั้นยังไม่มีโซเชียลมีเดียใด ๆ ทั้งหมดที่กล่าวมาทำให้มินิซีรีส์ชุดนี้เป็นมากกว่าการนำเรื่องเซ็กส์เทปมาขยี้ให้เป็นเรื่องตลก
ซีรีส์เปิดเรื่องด้วยการให้ความสำคัญกับตัวละครนำอย่าง แรนด์ (เซธ โรเกน – Seth Rogen) ช่างไม้ที่ถูกว่าจ้างมาช่วยปรับปรุงบ้านให้กับทอมมี่ ลี (เซบาสเตียน สแตน – Sebastian Stan) และได้เจอนิสัยแย่ ๆ ของเขาตลอดเวลา
กระทั่งวันหนึ่งทอมมียกเลิกการว่าจ้างอย่างไม่มีเหตุผล แถมเบี้ยวไม่จ่ายค่าแรงทั้งหมดและยึดกล่องเครื่องมือเขาอีกต่างหาก แรนด์โกรธแค้นและหาทางแก้แค้นด้วยการแอบเข้ามาขโมยตู้เซฟของทอมมี่ ซึ่งพบว่ามีเทปลับ Hi8 อยู่ในนั้นด้วย แรนด์เลยนำไปให้ผู้สร้างหนังโป๊ที่เขารู้จักเปิดเทปนี้ และจุดเริ่มต้นของการปล่อยเซ็กส์เทปสู่สายตาชาวโลกก็เกิดขึ้น
ด้วยการเล่าเรื่องที่ชาญฉลาด ‘Pam & Tommy’ไม่ได้เริ่มต้นด้วยการเล่าเรื่องของทอมและแพม แต่ใช้แรนด์ ช่างไม้ธรรมดาคนหนึ่งเป็นตัวเดินเรื่อง และเสมือนเป็นสายตาของคนดูซึ่งเป็นมนุษย์ปุถุชนทั่วไปที่มองเห็นพฤติกรรมอัน “สุดโต่ง บ้าบอ อึกทึก และหยาบคาย” ของทอม จนทำให้เราเกิดความเห็นใจและเลือกที่จะอยู่ฝ่ายแรนด์ตั้งแต่ต้น จากนั้นในตอนที่ 2 จึงหันกลับมาโฟกัสที่ทอมและแพม ตั้งแต่นาทีที่พบกัน ความสัมพันธ์ พฤติกรรมส่วนตัว ปัญหาชีวิตคู่ จนถึงการรับมือกับความดังของทั้งคู่
ถ้าใครดูตอนแรกแล้วรู้สึกว่า “บ้าบอ” ขอให้ดูถึงตอน 2 ที่มีฉาก “น้องชายพูดได้ของทอมมี่ ลี” ที่ปรับโทนของมินิซีรีส์ให้มีความแฟนตาซีและตลกร้าย ซึ่งหลังจากที่เราได้เห็นน้องชาย (น่าจะเป็นของปลอม) แบบเต็มจอแล้ว ฉากโป๊เปลือยของทอมและแพมที่มีให้เห็นอยู่ตลอดทั้งเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องขัดสายตาอีกต่อไป พูดง่าย ๆ ว่า ‘Pam & Tom’ มีความฉลาดในการนำเสนอฉากเปลือยแบบโจ๋งครึ่งให้ออกมาดูไม่อุจาดและไม่ส่อไปทางยั่วยุทางเพศ
ความเข้มข้นเริ่มทวีคูณมากขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงกลางของมินิซีรีส์ เมื่อทอมมี่และแพมพบว่าเทปลับถูกขโมยและนำไปปั๊มขายเป็นวิดีโอเทป ต่อด้วยอัปโหลดขึ้นอินเทอร์เน็ต จนเริ่มเปลี่ยนโทนเป็นดราม่าและคนดูเริ่มย้ายไปอยู่ฝ่ายทอมมี่และแพมที่ได้รับผลกระทบในชีวิต อาชีพ ความดัง และความสัมพันธ์จาก “เซ็กส์เทปหลุด” อย่างน่าเห็นใจ ในขณะเดียวกันเราก็เริ่มโกรธและไม่ให้อภัยในกระทำที่อ้างว่าเป็นการ “แก้แค้น” ของแรนด์
คนที่ต้องปรบมือให้ดังที่สุดคือ ลิลี เจมส์ (Lily James) ที่ยอมทุ่มสุดตัวปรับลุคเป็นพาเมลา แอนเดอร์สัน ได้อย่างสมจริง ไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตาแต่ยังรวมถึงอากัปกิริยาและวิธีการพูดจา เจมส์ทำให้แพมเป็นผู้หญิงที่น่าหมั่นไส้และน่าเห็นใจได้ในเวลาเดียวกัน อีกทั้งยังทำให้พาเมลา แอนเดอร์สัน
ที่ทุกคนเคยมองว่าเป็นตุ๊กตาบาร์บี้ให้กลายเป็นผู้หญิงที่มีเลือดเนื้อจิตใจอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เช่นเดียวกับ เซบาสเตียน สแตน ที่สวมบททอมมี่ ลี มือกลองที่หัวร้อนอยู่ตลอดเวลาได้บ้าบอคอแตกดีชนิดที่ลืมภาพ บักกี บาร์นส์ ในจักรวาลมาร์เวลไปเลย ในขณะที่เซธ โรแกน ก็สลัดภาพนักแสดงตลกมาทำให้บทแรนด์ทั้งน่าเห็นใจ น่าโมโห และน่าสมเพชไปพร้อมกัน ขณะที่นักแสดงคนอื่น ๆ ต่างก็เป็นเครื่องปรุงที่เผ็ดร้อนให้กับมินิซีรีส์นี้ได้ดี
ที่ขาดเอ่ยถึงไม่ได้คือองค์ประกอบด้านโปรดักชันที่ดึงเสน่ห์แห่งยุค 90s กลับมาอีกครั้ง ทั้งการเซตโลเคชันย้อนยุค บทสนทนาที่เอ่ยถึงวัฒนธรรมป๊อปในยุคนั้น และที่เด็ดสุดคือเพลงประกอบที่ขนเพลงดังยุค 90s มาใส่ในฉากต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะเจาะทั้งเรื่องอารมณ์และความหมายของเพลง
แม้มินิซีรีส์ ‘Pam & Tommy’ อาจจะถูกฉาบไว้ด้วยเรื่องเซ็กส์เทปสุดฉาวของคู่รักดาราก็จริง แต่ลึก ๆ แล้วมันสะท้อนให้เห็นถึงวงการหนังโปีและนิตยสารโป๊ในยุคนั้น รวมถึงการตีค่าผู้หญิงเป็นวัตถุทางเพศทั้งทางตรงและทางอ้อม ในยุคที่ยังไม่มีใครพูดถึงความเสมอภาคของทุกเพศและการถูกกลั่นแกล้งจากสังคม