เลขดี

Munich: The Edge of War

Munich: The Edge of War

ภายใต้บรรยากาศอันแสนตึงเครียดในชนวนที่เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีการเคลื่อนไหวมากมายที่เกิดขึ้น ณ นาทีนั้น และนี่คือเป็นการตีแผ่-ขยายภาพในช่วงเวลานั้นออกมาเป็น “Munich: The Edge of War” (มิวนิค ปากเหวสงคราม) หนังดราม่าขับเคลื่อนประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่มีพร้อมกับสารที่หนักแน่นและหนักหน่วงแทบจะทุกนาที เพราะสงครามกำลังนับถอยหลัง…เกิดขึ้นทุกเมื่อ

Munich: The Edge of Warเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงปี 1938 ยุโรปกำลังจะเข้าสู่สงคราม อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เตรียมบุกเชโกสโลวาเกีย และรัฐบาลของเนวิลล์ เชมเบอร์เลนก็พยายามทุกวิถีทางที่จะหาทางออกอย่างสันติ เมื่อความกดดันทวีขึ้นเรื่อยๆ ฮิวจ์ ลีแกต เจ้าหน้าที่รัฐของอังกฤษ และ พอล ฟอน ฮาร์ทมันน์ นักการทูตเยอรมัน จึงเดินทางไปมิวนิกเพื่อเข้าประชุมวาระฉุกเฉิน เมื่อการเจรจาต่อรองเริ่มต้นขึ้น เพื่อนเก่าทั้ง 2 คนกลับต้องตกอยู่ท่ามกลางวังวนของกลอุบายทางการเมืองและอันตรายที่แท้จริง

หนังเรื่องนี้ก็คงจะมีโทนบรรยากาศไม่ได้แตกต่างไปจากหนังสงครามเชิงเกมการเมืองและพันธะสัญญาที่ต้องชิงไวชิงพริบกันทุกนาที มีกลิ่นลุ้นระทึกและเข้มข้นแบบ “The Imitation Game” หรือ “Darkest Hour” ใส่ความลุ้นระทึกแบบ “Dunkirk” เข้ามาเบาๆ เพียงแต่ว่าองค์ประกอบต่างๆ ยังไม่สามารถเข้าใกล้ความยอดเยี่ยมได้เท่ากับหนังคุณภาพในระดับนั้น

Munich: The Edge of War

แต่ก็ไม่ใช่ว่า Munich: The Edge of Warจะไม่ได้เป็นหนังที่ดี สารและข้อความของหนังค่อนข้างชัดเจนและหนักแน่นเป็นอย่างมาก การเดินเรื่องค่อนข้างเข้มข้นน่าสนใจ ครึ่งแรกของหนังในการปูเรื่องที่เต็มไปด้วยข้อมูลมากมาย แต่ก็ถือว่าเป็นยิงสารถึงคนดูได้อย่างตรงไปตรงมา ขณะที่ช่วงครึ่งหลักของหนังค่อยๆ บีบคั้นด้วยสถานการณ์ขึ้นทีละน้อย ผ่านการขับเคลื่อนของตัวละครหลักที่ไม่สามารถไว้วางใจใครได้เลย

หนังเรื่องนี้เป็นการดัดแปลงมาจากนิยายอิงจากเหตุการณ์จริงของ “โรเบิร์ต แฮร์ริส” ในขณะที่งานกำกับของ “คริสเตียน ชโวโคว์” เราอาจจะไม่ค่อยได้เห็นผลงานของเขาสักเท่าไหร่ เพราะเขาเป็นผู้กำกับชาวเยอรมันที่สั่งสมประสบการณ์ในชิ้นงานมาหลายปี และผลงานของเขาก็เริ่มจะเป็นที่ประจักษ์ยิ่งขึ้น และหนังเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นพิสูจน์ฝีมือของเขาได้ดี

แม้ว่า Munich: The Edge of Warในฝีมือของ คริสเตียน ชโวโคว์ จะถูกกลั่นกรองออกมาอยู่ในพื้นที่เซฟโซนเป็นส่วนใหญ่ งานสร้างหนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยสูตรสำเร็จที่เคยหาดูได้จากหนังสงครามการเมืองหลายๆ เรื่องที่ผ่านมา แต่ต้องยอมรับว่าด้วยความเข้มข้นของบทหนังและโครงเรื่องนั้นเป็นจุดที่ช่วยพยุงหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้ค่อนข้างมากทีเดียว

แน่นอนว่าการแสดงก็สามารถช่วยพยุงหนังเรื่องนี้เอาไว้ได้อยู่หมัดไม่น้อยเช่นเดียวกัน “จอร์จ แม็คคาย” เปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์กับบทบาทที่เขาได้รับในครั้งนี้ เขาสามารถเข้าถึงบทของตัวเองได้เป็นอย่างดี ทั้งสีหน้าแววตาและอารมณ์ต่างๆ เป็นงานที่เข้าสามารถรับมือเอาไว้ได้ค่อนข้างสบาย ขณะที่ “ยานนิส นีเวอเนอร์” นักแสดงหนุ่มชาวเยอรมัน ก็แบกบทบาทเอาไว้ได้ดีเช่นเดียวกัน เมื่อทั้งคู่มาต่อบทคู่กันบนจอ กลั่นออกมาเป็นการระเบิดทางอารมณ์ทางการแสดงที่ค่อนข้างน่าประทับใจ

Munich: The Edge of War

“เจเรมี่ ไอรอนส์” ก็คือมืออาชีพที่ทำให้เห็นศักยภาพของความเป็นมืออาชีพในฐานะนักแสดงของเขา การมอบการแสดงแบบน้อยแต่มากของเขา ที่ช่วยตราตรึงผู้ชมเอาไว้ได้ในการรับบทเป็นนายกฯ เนวิล เชมเบอร์ลิน ของอังฤษในครั้งนี้ แต่น่าเสียดายที่หนังเรื่องนี้ยังมีตัวละครอื่นๆ ที่ค่อนข้างน่าสนใจโผล่มาสมทบในเรื่องนี้ เพียงแต่ยังไม่สามารถขับออกมาได้โดดเด่นเพียงพอ และก็ถือว่ากลมกล่อมไปตามสูตรสำเร็จของเรื่อง

โดยภาพรวมแล้ว Munich: The Edge of Warอาจจะเป็นเพียงแค่เหตุการณ์เสี้ยวนาทีเล็กๆ ของประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ปมเล็กๆ ในครั้งนี้ก็เต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่ของพลังขับเคลื่อน แม้ว่าเราทุกคนต่างทราบกันดีถึงไทม์ไลน์ต่อมาของสงครามและจุดจบของมัน แต่การขับเคลื่อนเล็กๆ บนพื้นฐานของมิตรภาพเก่าที่คุ้นเคย กลายเป็นสัญญะเชิงการเมืองเล็กน้อยที่สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดทางการเมืองส่วนบุคคล

ที่แน่นอนว่าในการเมืองนั้นไม่สามารถจะมีทุกคนที่คิดตรงกันได้ แต่ละฝ่ายแต่ละคนนั้นสามารถคิดแตกต่างกันได้ และหนังเรื่องนี้ก็ได้ทำการตีความออกมาส่งถึงผู้ชมว่า บนพื้นฐานของความคิดต่างเหล่านั้น ยังสามารถเป็นแรงขับเคลื่อนพัฒนาในสิ่งที่ดีกว่าปัจจุบันได้อยู่เช่นเดียวกัน ถึงแม้ Munich: The Edge of Warอาจจะยังไม่ใช่หนังสงครามการเมืองที่เยี่ยมยอดอะไร แต่รสชาติที่ออกมาก็กลมกล่อมกำลังใช้ได้พอดี…

ตัวอย่างหนัง Munich: The Edge of War

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *