Jackass Forever
Jackass Forever
หากว่าคุณเป็นคนที่เกิดและเติบโตทันในช่วงเรืองรองของยุค 90s เป็นต้นมา แน่นอนว่าคุณจะต้องคุ้นเคยกับพวกเขา แม้ว่าจะไม่คลุกคลีหรือรู้จักลึกซึ้งแต่อย่างใด แต่พวกเขาก็คืออดีตหัวโจ๊กตัวท็อปแห่งฮอลลิวูดที่เกาะกลุ่มมิตรภาพมาอย่างนาน และก็ได้โอกาสกลับมาอีกครั้งใน “Jackass Forever” ที่อาจจะเป็นการสร้างสรรค์ผลงานเต็มรูปแบบของพวกเขาเป็นทางทิ้งทวน ซึ่งการมาในครั้งนี้ของชาวแก๊ง ก็นับว่าเป็นจังหวะที่ดี ความบันเทิงสัปดนในรูปแบบของพวกเขา เป็นสิ่งที่โลกตอนนี้กำลังต้องการ(หรือเปล่า?)
Jackass Foreverก็คงจะไม่ต้องเกริ่นเรื่องย่ออะไรเลย เพราะมันไม่มีอยู่แล้ว เป็นแค่การรวมตัวของชาวแก๊งสมาชิกที่มีนับสิบคนที่สรรหาก่อเรื่องเจ็บตัวและก่อความมันส์สนใจเฉพาะตัวใส่หัวพวกเขากันเอง โดยที่แคสติ้งดั้งเดิมยังคงกลับมาครบ ไม่ว่าจะเป็น “จอห์นนี่ น็อกซ์วิลล์”, “สตีฟ-โอ”, “คริส พอนเทียส”, “เดฟ อิงแลนด์”, “วีแมน”, “เอเรน แม็คเกย์”, “ชอว์น แม็คไอเนอร์นีย์”, “เพรสตัน เลซีย์”, “เดวอน วิลสัน” หรือ “เจฟฟ์ เทรเมน” ผู้กำกับคู่บุญของชาวแก๊งนับเดินตามรายกันมาตั้งแต่จุดเริ่มต้น
ต้องยอมรับตรงๆ ว่า หลังจากที่ดู Jackass Foreverจบลงแล้ว คิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะกลับมาเขียนรีวิวออกมายังไงดี? เล่าความรู้สึกที่มีแบบไหนดี? หรือจะเขียนแปะผู้อ่านแค่สั้นๆ ประโยคเดียวว่า “สนุกดี ไปดูเหอะ!” แค่นั้นก็พอนะ เอาเป็นว่า Jackass Foreverก็ยังคงเป็นหนังตลกเจ็บตัวสูตรสำเร็จของพวกเขาที่ก่อกำเนิดหนังชุดนี้มาตั้งแต่เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ในครั้งนี้เป็นการกลับมาอีกหนในรอบทศวรรษ ก็ถือว่าพวกเขากลับมาจัดเต็ม ทั้งหวาดเสียว ทั้งขำขัน ทั้งขยะแขยง ทั้งสะพรึง
บอกเลยว่าแค่ฉากโหมโรงเปิดเรื่องก็ต้องเทคะแนนให้สิบเต็มสิบไปเลย เพราะเป็นการเปิดฉากที่ทั้งตราตรึงและสุดสะพรึงไปคราวเดียวกัน นับว่าเป็นการบียอนด์อีกขึ้นของตระกูล Jackass ที่เล่นแบบนี้เลยตั้งแต่ฉากแรก รู้สึกขำและรู้สึกสะอิดสะเอียนไปควบคู่กันอย่างประหลาดใจ ราวกับว่าหนังเรื่องนี้ของพวกเขาจะเป็นการทิ้งทวนแล้วจริงๆ จึงจำเป็นจะต้องเล่นใหญ่จัดเต็มให้ผู้ชมได้จดจำไปอีกนานแสนนาน และมันก็ทำหน้าที่เช่นนี้ได้สมความปรารถนาจริงๆ
Jackass Foreverก็ยังคงเป็นหนัง Jackass ในรูปแบบเดิมๆ เป็นการแสดงสตั้นท์แบบแผลงๆ ที่หนังต้องขึ้นคำเตือนย้ำๆ ทั้งก่อนฉายและหลังฉายว่า ‘ไม่ควรเก็บเอาไปทำตามที่บ้าน’ เพราะพฤติกรรมทุกๆ อย่างของพวกเขานั้น อันตรายมากๆ ถึงที่สุด และแผลงเกิดกว่าที่คนทั่วไปจะรับได้ด้วยซ้ำ หากว่าไม่มีการฝึกซ้อมและตระเตรียมคิวกันเอาไว้ แม้ว่าจะรู้สึกแขยงหนังไปตลอดทาง แต่นั่นกลับกลายเป็นความบันเทิงอย่างน่าประหลาดใจ ที่เชื่อว่าผู้ชมก็ต้องการมารับและพวกเขาก็ต้องการมอบให้
จึงกลายเป็นหนังแอคชั่นตลกแบบเจ็บตัวที่แสบสันต์ ที่ทำให้เรารู้สึกบิดไปบิดมาอยู่บางครั้ง ไม่เข้าใจถึงจุดประสงค์ของการทำแผลงๆ ของพวกเขาในหลายอย่าง แต่มันกลับเป็นความบันเทิงและความสนุกที่เป็นเสน่ห์หลักของหนังชุดนี้ ที่ไม่ประหลาดใจที่สามารถทำออกมาต่อเนื่องได้ยาวนานและเข็นออกมาเป็นภาคที่ 4 แล้ว
แต่ก็ต้องยอมรับว่าด้วยอายุของแฟรนไชส์หนังเรื่องนี้ก็ดำเนินมานานถึง 20 ปี สัมผัสได้ว่ามุกต่างๆ ของพวกเขาก็เริ่มจืดจางไปบ้าง นำเอามุกเดิมๆ ที่เคยใช้จากภาคก่อนมาปรับปรุงทดลองใหม่บ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นองค์ประกอบเดิมๆ ที่ไม่ทำให้รู้สึกติดขัดใจ อีกทั้งทีมนักแสดงต่างก็ไม่ได้ฟิตปั๋งเหมือนกับตอนหนุ่มๆ อีกแล้ว แม้ว่าความคึกคะนองและมิตรภาพของพวกเขายังเหนียวแน่น แต่ด้วยวัยที่โรยราไปตามเวลา พฤติกรรมแผลงๆ และเจ็บตัวของพวกเขาก็ต้องเซฟตี้เรื่องสุขภาพเอาไว้เป็นหลัก
ก็เอาเป็นว่า หาก Jackass Forever จะเป็นภาคสุดท้ายของหนังชุดนี้ ก็น่าจะเป็นการฉากที่ค่อนข้างลงตัวและกลมกล่อมในระดับที่น่าพอใจ เป็นความบันเทิงที่ผู้ชมหนังชุดนี้ต้องการเป็นอย่างดี และเชื่อว่าหลายคนก็น่าจะเฝ้ารอคอย Jackass 4.5 ตามออกมาเป็นธรรมเนียมของแฟรนไชส์หนังเรื่องนี้เสมอๆ (แต่ไม่รู้ว่าจะมีหรือไม่นะ) คงต้องบอกว่า หนังสนุกดี บันเทิงดี และสะใจดี ใครที่เป็นแฟนหนังชุดนี้ก็ไม่ควรพลาด แต่คงต้องย้ำเตือนว่า หนังเรื่องนี้ไม่เหมาะกับเด็กและเยาวชนเลยแม้แต่น้อย เพราะความรุนแรงและภาพต่างๆ ไม่เหมาะสมเยอะเกินกว่าจะเซ็นเซอร์หมดจริงๆ