เลขดี

Drive My Car สุดทางรัก

Drive My Car สุดทางรัก

มาถึงหนึ่งในหนังที่ผู้เขียนเฝ้ารอคอยที่อยากจะตีตั๋วเข้าไปพิสูจน์ด้วยตาของตัวเองที่สุดในปีนี้อีกเรื่อง กับหนังดราม่าจัดๆ จากญี่ปุ่นที่ภาพฉาบหน้าดูยังไม่เท่าไหร่ แต่พอได้ซึบซาบเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งกับเนื้อหนังแล้ว…กลายเป็นอารมณ์กัดกินใจลึกเข้าไปเรื่อยๆ นี่คือ “Drive My Car สุดทางรัก” หนังที่ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนส่งเข้าชิงรางวัลออสการ์ 2022 จากประเทศญี่ปุ่น และยังคว้ารางวัลจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ 2021 มาได้ด้วย และวันนี้เราได้ทราบแล้วว่า…ทำไมหนังถึงได้รับโอกาสยิ่งใหญ่ครั้งนี้

Drive My Car เป็นเรื่องราวของ ยูซูเกะ ฮาฟูกุ นักแสดงและผู้กำกับละครเวทีหนุ่มใหญ่ ที่มีชีวิตแต่งงานแสนสุขกับ โอโตะ นักเขียนบทสาว แต่แล้ววันหนึ่งโอโตะได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน ทิ้งไว้เพียงความลับและบาดแผล 2 ปีต่อมา ฮาฟูกุยังคงไม่สามารถเยียวยาจิตใจออกจากความสูญเสียได้ ตัดสินใจรับข้อเสนอไปกำกับละครเรื่องหนึ่งในเทศกาลที่ฮิโรชิมา และขับรถออกเดินทางไปตามลำพัง

ณ ที่นั่นเขาได้พบ มิซากิ หญิงสาวเงียบขรึมผู้ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้มาเป็นคนขับรถให้กับเขา ทั้งคู่ที่แตกต่างกันในทุกๆ ด้าน จำต้องใช้เวลาร่วมกันบนรถสีแดงคันเล็กๆ ท่ามกลางความอึดอัดตลอดเส้นทางเป็นชั่วโมงจากที่ทำงานถึงที่พัก โดยหารู้ไม่ว่ามันจะกลายเป็นทั้งสถานที่เผยความลับและเป็นช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาไปอย่างสิ้นเชิง

Drive My Car สุดทางรัก

หนึ่งในสิ่งที่ไม่พูดถึงก็คงจะไม่ได้เลยคือเรื่องความยาวของตัวหนัง เพราะ Drive My Car เป็นหนังดราม่าจัดๆ ที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างเต็มรูปแบบ กินเวลาเกือบๆ 3 ชั่วโมงเต็มเลยทีเดียว แต่ถึงแม้ว่าหนังจะค่อนข้างยาวมาก ก็นับว่าเป็นประสบการณ์ดูหนังที่ค่อนข้างคุ้มค่าตัวไม่เบา เพราะนี่เป็น 3 ชั่วโมงที่คนดูได้ถลำลึกและซึมซับเข้าถึงตัวเลขได้อย่างเป็นไปตามลำดับขั้นตอน เสมือนการได้เปิดใจทำความรู้จักคนใหม่ๆ เข้ามาในชีวิตตัวเองอะไรทำนองนั้น

“เรียวสึเกะ ฮามะกูชิ” คือผู้กำกับที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดหนังเรื่องนี้ ทั้งกำกับและเขียนบทหนังเอง เขาคือนักทำหนังที่มีลายเส้นและฝีมือในการเป็น Storyteller ระดับแถวหน้าของญี่ปุ่น เห็นได้จากผลงานก่อนหน้านี้ของเขา ที่ล้วนแต่เป็นหนังที่จัดการกับความรู้สึกและความคิดของตัวละครหลักๆ ได้เป็นอย่างดี และเขาก็ยังหยิบเอาแนวถนัดของเขามาใส่เอาไว้ใน Drive My Car หนังดราม่าที่เลือกใช้วิธีการเล่าเรื่องด้วยการขับเคลื่อนของยานยนต์เป็นตัวแทน

หนังเรื่องนี้พัฒนาดัดแปลงมาจากเรื่องสั้นของ “ฮารุกิ มูระกามิ” ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถขยายออกมาได้เป็นเรื่องยาวและยิ่งใหญ่เพียงดี และปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Drive My Car เป็นหนังที่มีองค์ประกอบต่างๆ ทั้ง Pacing และ Segment ที่เกือบจะสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว และหนังก็ยังนับว่าเป็นหนังที่มีบทภาพยนตร์เข้าขั้นยอดเยี่ยมใช้ได้ที่สุดเรื่องหนึ่งของปีนี้เลยก็ว่าได้

บทหนังเรื่องนี้ ที่ เรียวสึเกะ ฮามะกูชิ ได้พยายามถ่ายทอดออกมานั้น มีนัยยะสำคัญตั้งแต่ฉากแรกเริ่มของหนังไปถึงฉากสุดท้าย จากองค์ประกอบเรื่องราวเพียงแค่หย่อมเดียว เขาสามารถแผ่ขยายและเกลี่ยเรื่องราวออกไปได้อย่างอิมแพค โดยนอกจากที่หนังจะใช้การขับเคลื่อนยานยนต์มาช่วยในการพัฒนาตัวละครแล้ว ยังได้หยิบเอาการดำเนินเรื่องเคล้ากับบทละครเวทีมาเสริมความหนักแน่นให้ตัวเรื่องเข้าไปอีก

บทพูดและไดอะล็อกในบางช่วงบางฉากของ Drive My Car ถ่ายทอดมาได้น่าขนลุก แม้ว่าจะเป็นประโยคที่มีการใส่จังหวะความเป็นละครเวทีสอดแทรกเข้ามา แต่ก็ต้องทำให้ดูจับจ้องสนใจที่จะฟัง เพราะทุกๆ คำเอื้อนเอ่ยที่ออกมานั้น ผู้กำกับได้สอดแทรกแนวความคิดและเหตุการณ์ที่เชื่อมโยงกับจิตใจในเวลานั้นๆ ของตัวละครแทบจะทุกเม็ด และฉากที่ประทับใจส่วนใหญ่ก็มักจะเกิดขึ้นบนอยู่รถคันเล็กๆ และผู้เขียนชื่นชอบมากๆ ก็คือฉากสนทนาลองเทคบนรถ ที่มีไดอะล็อกยาวเป็นหน้ากระดาษทีเดียว

Drive My Car สุดทางรัก

นักแสดงรุ่นใหญ่ยอดฝีมือ “ฮิเดโตชิ นิชิจิมะ” แบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้อยู่หมัด การแสดงในลักษณะน้อยแต่มากของเขาได้ถูกมาใช้ถ่ายทอดในเรื่องนี้ และนี่จึงก็กลายเป็นผลงานมาสเตอร์พีชเรื่องล่าสุดของเขาไปโดยปริยาย ด้วยองค์ประกอบของบทหนังที่ส่งเสริมคาแรกเตอร์นี้เป็นอย่างดี เมื่อได้ฮิเดโตชิมมาสวมบทบาทนั้น ออกมาเป็นตัวละครที่เต็มไปด้วยมิติหลากหลายเป็นอย่างดี วิธีการตีความและตกผลึกออกมาของเขาค่อนข้างน่าทึ่ง เป็นตัวละครที่มีความเป็นมนุษย์มากๆ อีกตัวในโลกภาพยนตร์

ส่วนอีกคนที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ “โทโกะ มิอุระ” ที่ได้ฉายแสงและฉายความจัดจ้านทางการแสดงออกมาได้น่าสนใจในเรื่องนี้ แม้ว่าจะเป็นอีกคาแรกเตอร์ที่ถ่ายทอดออกมาแบบน้อยแต่มากอีกคนเช่นเดียวกัน แต่เธอเข้ามาเป็นตัวละครที่มาส่งเสริมตัวละครหลักได้อย่างเข้มแข็ง โดยเฉพาะช่วงท้ายกลายเป็นความพรั่งพรูที่ถาโถมใส่ผู้ชมแบบไม่ยั้ง กลายเป็นอดีตดาราเด็กที่ก้าวมาสู่นักแสดงอาชีพที่มาพร้อมกับฝีมือเฉพาะตัวที่น่าจับตามองไม่เบา

ในขณะที่ “เรกะ คิริชิมะ” และ “มาซากิ โอกาดะ” ที่เข้ามาร่วมสมทบแสดงในหนังเรื่องนี้ ก็ถือว่าเป็นตัวละครเสริมความแข็งแกร่งและเป็นนัยยะที่สำคัญให้องค์ประกอบในหนัง Drive My Car เป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงเท่านั้น ยังรวมไปถึงแคสติ้งนักแสดงนานาชาติที่หนังใส่เสริมเข้ามา ที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทั้งในด้านบุคลิก, ภาษา และเชื้อชาติ ที่กลายเป็นเสน่ห์ที่ขับออกมาได้อย่างน่าทึ่ง และกลายเป็นว่าเมื่อองค์ประกอบต่างๆ ได้นำมาใส่เข้ากันเป็นหนังเรื่องนี้ จึงทำให้ออกมาเป็นหนังดราม่าจัดๆ ที่เต็มไปความรวดร้าวที่เก็บงำเอาไว้ของแต่ละตัวละคร ที่รอคอยการกระเทาะปลดแอกออกมาได้ในสักวัน

โดยสรุปแล้ว ก็ไม่รู้สึกแปลกใจอะไรที่ Drive My Car จะได้เป็นตัวแทนส่งเข้าชิงรางวัลออสการ์จากประเทศญี่ปุ่นในปีนี้ เพราะหลายๆ องค์ประกอบเหมาะสมเป็นอย่างดี และคงจะบอกได้เลยว่านี่เป็นหนึ่งในหนังที่ดีที่สุดในรอบปีนี้เท่าที่ดูหนังหลายๆ เรื่องมา บทหนังที่กัดกินใจและเข้าถึงในหลายๆ ส่วนที่ส่งเสริมตัวหนังได้เป็นอย่างดี ได้ทำให้หนังเข้าใกล้ความสมูรณ์แบบยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ นี่จึงเป็นหนังความยาม 3 ชั่วโมงที่อาจจะดูยาวนาน แต่เต็มไปด้วยอนุภาพพลังที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน

ตัวอย่างหนัง Drive My Car สุดทางรัก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *