Marry Me ไปแฟนมีต แต่พีคได้แต่งงาน
Marry Me ไปแฟนมีต แต่พีคได้แต่งงาน
เรามาถึงในยุคที่มักจะได้ยินนักสร้างหนังบ่นกันนักหนาว่า “หนังทุนสร้างต่ำถึงกลางกำลังจะค่อยๆ ตาย…” ประโยคนั้นก็ดูเหมือนจะมีมูลความจริงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเมื่อได้มาดูหนังโรแมนติกคอมเมดี้เรื่องล่าสุดที่ชื่อว่า “Marry Me” (ไปแฟนมีต แต่พีคได้แต่งงาน) ที่มีตัวแม่ “เจนนิเฟอร์ โลเปซ” กลับมาเล่นหนังแนวถนัดของเธออีกครั้ง ก็ยิ่งทำให้ตอกย้ำว่า…หนังแนวนี้แทบจะถูกกลืนกินหายไปกับยุคสมัยไปเสียแล้ว
Marry Me เป็นเรื่องราวของ แคท วาลเดซ และศิลปินดาวรุ่ง บาสเตียน คู่รักเซเล็บที่เซ็กซี่ที่สุดในโลก ด้วยกระแสแรงเกินต้านของเพลง Marry Me ซิงเกิลฮิตของทั้งคู่ที่พุ่งทยานในทุกชาร์ต พวกเขาตั้งใจจะประกาศแต่งงานกันต่อหน้าผู้ชมที่ไลฟ์ไปทั่วทุกแพลตฟอร์มออนไลน์ ระหว่างงานนั้นเอง แคท รู้ความจริงว่าถูกแฟนหนุ่มนอกใจไปคบกับผู้ช่วยของเธอเอง ชีวิตเธอเหมือนจะพังทลายอยู่กลางเวที เธอถามหาความหมายของความรัก ความจริงใจ และความซื่อสัตย์ เมื่อโลกทั้งใบของเธอพังลง
เธอกวาดสายตาและจับจ้องไปที่ใครคนหนึ่งท่ามกลางผู้คนแปลกหน้า นั่นก็คือ ชาร์ลี กิลเบิร์ต ครูสอนคณิตศาสตร์มัธยม พ่วงด้วยสถานพ่อหม้ายถูกลากไปงานคอนเสิร์ตกับ ลู ลูกสาว และเพื่อนสนิทของเขา ถ้าสิ่งที่รู้ดีอยู่แล้วทำให้ผิดหวัง บางทีสิ่งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนอาจจจะเป็นคำตอบ วินาทีนั้นเองที่แคททำบางสิ่งที่ไร้สติอย่างการเลือก ชาร์ลี มาเป็นคู่แต่งงาน สิ่งที่เริ่มต้นจากความหุนหันพลันแล่นกลับกลายเป็นเรื่องโรแมนติกที่คาดไม่ถึง
แค่ดูพล็อตเรื่องก็ไม่ต้องคิดอะไรให้ซับซ้อนยุ่งยากอะไรเลย เพราะมันได้ตอบโจทย์ของมันเรียบร้อยแล้ว นี่อาจจะมาเป็นโครงเรื่องในแนวซินเดอเรลล่า คอมเพล็กซ์ แนวทวิสต์ หรือพวกเรื่องราวรักเพ้อฝันที่เรามักจะได้เห็นในหนังแนวนี้อยู่เรื่อยๆ แต่ก็นั่นแหละ Marry Me ก็พลอยทำให้เรารู้สึกคิดถึงถวิลหาย้อนกลับไปในช่วงยุครุ่งเรืองของหนังรอมคอม ช่วงยุคต้นๆ ปี 2000s อะไรทำนองนั้น มันทั้งซ้ำซากและน้ำเน่า แต่ไม่รู้ว่าทำไมกลับคิดถึง…
Marry Me เป็นหนังที่เบาบางมาก บางเชียบไปทุกอณูเลยก็ว่าได้ เป็นหนังที่ดูได้แบบปล่อยใจไปตามท้องเรื่อง แฮปปี้และยิ้มไปกับความซ้ำซาก และเอ็นจอยไปกับการแสดงอันเป็นมืออาชีพของ เจนนิเฟอร์ โลเปซ ที่นับว่าแบกหนังเรื่องนี้ไว้ได้แบบสบายๆ ไม่ต้องออกแรงอะไรเลย หรือจะฟังเพลงประกอบหนังที่แอบเพราะอยู่หลายเพลงอยู่เหมือนกัน และก็เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่โดดเด่นของหนังเรื่องนี้
“โอเว่น วิลสัน” ยังคงทำหน้าที่ได้ดีในหนังแนวนี้ แม้ว่าเขาจะพยายามฉีกตัวเองไปเล่นหนังแนวอื่นๆ แต่สุดท้ายก็ยังคงกลับมาตายรังและทำได้ดีในหนังรอมคอมอยู่ดี และเมื่อได้ทั้ง 2 มืออาชีพมาผนึกกำลังกันในหนังเฉิ่มๆ เรื่องนี้ ก็ได้ผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นหนังรักที่คิดถึงมานานหลายปี เพราะเอาเข้าจริงๆ เราแทบจะไม่ค่อยได้เห็นหนังแนวนี้ได้มีโอกาสและมีพื้นที่จะออกฉายตามโรงหนังแล้ว
แต่จะว่าไป Marry Me ก็มีจังหวะและความคล้ายกับพวกหนังที่ฉายตามทีวีหรือหนังจอเล็กทางสตรีมมิ่ง เพราะได้ฝีมือการกำกับของ “แคท โคริโอ” ผู้กำกับสาวที่คร่ำหวอดกับงานกำกับงานทีวีซีรีส์และหนังทีวีมาหลายเรื่อง แต่ในครั้งนี้ได้ทุนสร้างที่สูงขึ้้นและงานสร้างที่ยิ่งใหญ่ขึ้น ทุกอย่างจึงดูใหญ่ขึ้นตามองค์ประกอบ แต่คิดว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้ก็แทบจะไม่มีใครสนใจจะเลือกชมในยุคนี้แล้วด้วยซ้ำ
เอาเป็นว่าในภาพรวมแล้ว Marry Me ก็่น่าจะเป็นหนังที่ถูกใจคอหนังรัก โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เติบโตมากับหนังรอมคอมในช่วงยุคปี 2000s เพราะเรื่องนี้คือตอบโจทย์ความคิดถึงเป็นอย่างยิ่ง และยิ่งในสมัยนี้หนังแนวๆ กลายเป็นหนังที่มักจะสร้างขึ้นและส่งตรงลงฉายสตรีมมิ่งกันหมดแล้ว เนื่องจากโอกาสที่จะประสบความสำเร็จบนบ็อกซ์ออฟฟิศช่างน้อยนิด แต่อย่างน้อยๆ เราก็ดีใจที่ได้มีโอกาสตีตั๋วดูหนังเรื่องนี้กับบรรยากาศที่คิดถึงในโรงหนังอีกครั้งเช่นนี้ ทั้งที่ตัวหนังไม่มีอะไรเลยก็ตาม…