C’mon C’mon ลุงครับ ‘รัก’ คืออะไร?
C’mon C’mon ลุงครับ ‘รัก’ คืออะไร?
มาถึงคิวหนังเล็กๆ ที่ได้ยินเสียงร่ำลือถึงความต๊าชชช…เป็นกระแสตั้งแต่ที่เมืองนอก ทำให้เราตั้งคารอคอยและในที่สุดก็มีค่ายหนังใจดี ซื้อสิทธิ์นำมาฉายในบ้านเราสักที นี่ก็คือ “C’mon C’mon” (ลุงครับ ‘รัก’ คืออะไร?) หนังดราม่าลุงหลานที่ถือว่าเป็นหนังขวัญใจนักวิจารณ์อีกเรื่องในปี 2021 ที่ผ่านมา และเมื่อเราได้ไปพิสูจน์กับตาแล้ว เราเชื่อแล้วว่าทำไมใครๆ ก็ชอบหนังเรื่องนี้ เพราะหนังเรื่องนี้ก็เป็นขวัญใจของเราอีกเรื่องไปแล้วเช่นเดียวกัน
C’mon C’mon ลุง ครับ ‘รัก’ คืออะไร? ว่าด้วยเรื่องราวของ จอห์นนี่ นักข่าววิทยุบ้างานที่กำลังทำโปรเจกต์ออกเดินทางสัมภาษณ์เด็กๆ หนุ่มสาวทั่วอเมริกา ในหัวข้อ “ความหวัง” และ “วันพรุ่งนี้ ” เขาได้รับการติดต่อจากน้องสาว ผู้ไม่ได้ติดต่อกันมานานหลายปี เพื่อให้มาช่วยดูแลลูกชายของเธอแบบเฉพาะกิจ จึงทำให้เขาได้พบกับ เจสซี่ หลานชายที่แทบจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ทั้งคู่ได้ออกเดินทางข้ามประเทศ เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตของกันและกัน
นี่คือผลงานล่าสุดของผู้กำกับ “ไมค์ ไมล์ส” ที่เขายังรับหน้าที่เขียนบทหนังเองเช่นเคย และผลงานหนังเรื่องนี้ของเขาก็ยังคงไว้ด้วยสไตล์อันเป็นแนวคิดของตัวเองค่อนข้างเด่นชัด โดยเฉพาะการยั้งลึกเข้าไปถึงอารมณ์และความสัมพันธ์ของมนุษย์ เหมือนกับที่เคยทำเอาไว้ในผลงานก่อนๆ อย่าง “Beginners” หรือ “20th Century Women” แน่นอนว่าบทหนังเรื่องนี้คมคายเป็นอย่างมาก ทั้งสร้างและใสมิติในกับเรื่องราวได้ในหลายๆ ด้าน ขับเสน่ห์ของตัวละครออกมาได้อย่างเข้มข้น
หนังมีปมประเด็นที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยใหญ่ แต่กลับหนักหน่วงเอาการอยู่ไม่น้อย เป็นประเด็นละเอียดอ่อนเกี่ยวกับสถาบันครอบครัวที่ถูกสอดแทรกเอาไว้อย่างมีกึ๋น เล่าเรื่องผ่านตัวละครเด็กกับผู้ใหญ่ที่เป็นสิ่งที่ท้าทายมากๆ และยังสอดแทรกทัศนคิตกับความคิดของเยาวชน ที่มีต่อมุมของโลกปัจจุบันที่พวกเขาดำรงชีพอยู่ เป็นเสียงแทรกเข้ามาที่ช่วยส่งเสริมความหนักแน่นให้กับแนวคิดของหนังได้อย่างเข้มแข็งมากยิ่งขึ้นด้วย
ไดอะล็อกและบทหนังที่ว่าเยี่ยมแล้ว มาได้การแสดงดีๆ ของ “วาคีน ฟีนิกซ์” เข้ามาเสริม ต้องบอกว่าเขาแบกรับหนังเรื่องนี้ทั้งเรื่องเอาไว้ได้สบายๆ ทั้งการถ่ายทอดอารมณ์และการยั้งเข้าถึงบทบาทนั่น นี่คือลักษณะของนักแสดงมืออาชีพโดยแท้ และหนังก็ยังได้นักแสดงเด็กดาวรุ่งหน้าใหม่ที่น่าจับตามองมากๆ อย่าง “วู้ดดี้ นอร์แมน” ที่การแสดงของเด็กคนนี้จะทำให้ผู้ชมต้องทึ่งกับความสามารถของเขา ตัวเล็กๆ แต่เข้าถึงบทบาทและถ่ายทอดออกมาได้น่าเหลือเชื่อ ขนาดเป็นแค่นักแสดงเด็กตัวเล็กๆ เท่านั้น
วู้ดดี้ นอร์แมน กลายเป็นหลานที่รัก ที่มาช่วยลุงวาคีนประคับประคองและจับมือพากันไปด้วยกันตลอดทั้งเรื่อง ระยะเวลา 100 นาทีนิดๆ ของหนังเรื่องนี้คือความอิ่มเอมและน่าประทับใจตลอดทุกช่วงนาที ขณะที่อีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ “แกบี้ ฮอฟมานน์” ที่ฉายแสงในหนังเรื่องนี้ได้ดีอีกคน กับการแสดงในแบบน้อยแต่มาก ออกมาทุกฉากถือว่าทรงพลังและใส่เต็มได้เป็นอย่างดี ทำการผนึกกำลังกันระหว่าง 3 นักแสดงหลักของเรื่องนี้…คือองค์ประกอบที่ลงตัวเป็นอย่างยิ่ง
วิธีการเล่าเรื่องของ C’mon C’mon ถือว่าน่าสนใจและน่าประทับใจไม่น้อย การใส่ประเด็นหนักๆ ระหว่างความปวดร้าวและรอยร้าวที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวของตัวละคร แทรกด้วยแนวคิดและความคิดของเด็กรุ่นใหม่ ที่ตัวละครหลักออกเดินทางไปสัมภาษณ์และพูดคุยด้วยทั่วประเทศ คำตอบของเด็กๆ เหล่านี้ไม่ใช่แค่บทหนังดาดๆ ที่ใส่เอาไว้ทำเท่ แต่กลายเป็นกระจกสะท้อนความคิดของเยาวชนรุ่นใหม่ ทำให้เห็นพวกเขามีแนวคิดที่แตกต่างและเป็นเอกเขนกในรูปแบบเจเนอเรชั่นของตัวเอง
และการเลือกใช้วิธีถ่ายทอดหนังออกมาในรูปแบบหนังขาว-ดำตลอดทั้งเรื่องนั้น ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งกิมมิกสำคัญที่ช่วยยกระดับการถ่ายทอดอารมณ์ให้กับผู้ชมได้เป็นอย่างดี เพราะปมเรื่องราวของหนังนั้นก็เหมาะที่จะเล่าออกมาเป็นสีเทาๆ เพราะโลกใบนี้สำหรับบางคนก็ไม่มีสีสันเสมอไป ยังมีความเทาและความหม่นปะปนอยู่ในแต่ละช่วงชีวิตและจังหวะ และการเกลี่ยภาพเล่าออกมาในโทนนี้ของหนัง ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งหนังขาว-ดำที่ทำได้ค่อนข้างน่าพอใจ
แอบเสียดายไม่น้อย C’mon C’mon แทบไม่มีบทบาทบนเวทีรางวัลออสการ์ในปีนี้เลย ทั้งที่มีหลายๆ องค์ประกอบที่หนังหนักแน่นเพียงพอที่จะติดโผเข้าชิงด้วยซ้ำ อย่างน้อย บทภาพยนตร์ก็ถือว่าโดดเด่นพอสู้กับใครได้ การแสดงอันน่าประทับใจของ วาคีน ฟีนิกซ์ ก็ถือว่าขั้นเกณฑ์ที่เหมาะจะมีที่นั่งในสาขานักแสดงชาย ขณะที่ วู้ดดี้ นอร์แมน ก็น่าจะได้เป็นนักแสดงเด็กอายุน้อย ที่มีโอกาสได้เข้าชิงนักแสดงสมทบชายปีนี้ด้วยซ้ำ
เอาเป็นว่าโดยสรุปแล้ว C’mon C’mon ลุง ครับ ‘รัก’ คืออะไร ? เป็นหนังดราม่าที่จะบอกว่าฟีลกู้ดก็ไม่น่าจะใช่ แต่มันเป็นสไตล์ coming-of-age ที่ค่อนข้างหนักหน่วงด้วยภาวะอารมณ์ แต่ไม่ได้หม่นหมองและหนักอึ้งอะไรจนเกินไป แต่คนดูจะได้เรียนรู้ชีวิตผ่านลุงกับหลานคู่นี้ไปตลอดทั้งเรื่อง ผ่านมุมมองความเป็นผู้ใหญ่ที่บางครั้งก็ยังคิดเป็นเด็กๆ ผ่านมุมมองความเป็นเด็กที่บางครั้งกลับคิดแบบผู้ใหญ่ นี่จึงเป็นหนังที่เหมาะกับผู้ใหญ่มากๆ และเมื่อหนังจบแล้ว…น้ำตาซึมเบาๆ ได้เลย
ปล. หนังเรื่องนี้เป็นเครดิตพิเศษตอนท้ายเรื่อง แต่ไม่ได้มีฉากพิเศษอะไรหรอกนะ เป็นเครดิตเสียงพิเศษที่อยากจะนั่งฟังไปเรื่อยๆ ไปจนเครดิตรายชื่อของหนังจบเลยก็ดี…